- หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมันถูกแบ่งประเทศออกเป็น 2 ฝั่งคือตะวันตกและตะวันออก ฝั่งเยอรมันตะวันตกมี 11 มลรัฐ ฝั่งเยอรมันตะวันออกมี 5 มลรัฐ มีกำแพงเบอร์ลินกั้นกลางเป็นแนวเขตแดน เยอรมันย่อยยับจากสงครามแม้ประเทศก็ถูกแบ่งแยก
- ในวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1990 กำแพงเบอร์ลินถูกทลายลง นำเยอรมันทั้งสองฝั่งหลอมเข้าด้วยกัน และเยอรมันก็ผงาดขึ้นอีกครั้งในฐานะผู้นำและมหาอำนาจโลกอีกประเทศหนึ่ง
- เยอรมันปกครองครองแบบประชาธิปไตยรูปแบบรัฐสภา มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำฝ่ายบริหาร มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐ ประธานาธิบดีได้รับเลือกมาจากที่ประชุมสมัชชาแห่งสหพันธรัฐ ซึ่งประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 622 คน และสมาชิกสภาที่มาจาก 16 มลรัฐเลือกมาอีก 662 คน รวมทั้งสิ้น 1,324 คนเป็นผู้เลือกมา โดยโหวตลับ และใช้เสียงส่วนใหญ่ ดำรงตำแหน่ง 5 ปี เพียงสมัยเดียวเท่านั้น ( ประธานาธิบดีมีอำนาจยุบสภาฯได้ )ตามรูปแบบนี้
- ระบบเลือกตั้งของเยอรมัน ถูกนำมาตัดแปะในรัฐธรรมนูญของไทยฉบับปี 2540 หรือฉบับที่ 16 กล่าวคือ การเลือกตั้งของเยอรมันทุกระดับเป็นแบบผสม คือเขตเดียวเบอร์เดียวเลือกมาจากประชาชนโดยตรง ร้อยละ 50 และมาจากบัญชีรายชื่อพรรค อีก ร้อยละ 50 ( นี่คือต้นตอที่มาของระบบ ส.ส. ตาม รธน. ปี 2540 ของไทย ) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีอายุ 18 ปี บริบูรณ์
- ข้อแตกต่างและข้อที่น่าสังเกตุคือ เยอรมัน มีสภาที่ปรึกษาราชการ (Bundesrat) สภานี้เป็นตัวแทนของ 16 มลรัฐ และมีส่วนร่วมในการออกกฎหมายและบริหารราชการของสหพันธรัฐ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงแต่เป็นตัวแทนจากมลรัฐ และแต่ละมลรัฐจะมีสมาชิกไม่เท่ากัน สภานี้มีทั้งสิ้น 68 ที่นั่ง
- ความสำคัญของสภาที่ปรึกษาราชการอีกประการคือ ในกรณีที่ ประธานาธิบดีแห่งเยอรมันปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ ประธานสภาที่ปรึกษาราชการนี้จะเป็นผู้ ทำหน้าที่ประธานาธิบดี
- นี่คือความแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับประเทศหลายๆประเทศที่ใช้ระบอบรัฐสภา
- การปกครองของเยอรมัน แบ่งออกเป็นรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งเป็นอิสระแก่กัน
- ข้อสังเกตุอีกอย่างคือเยอรมันให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นอย่างมาก ซึ่งจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป
กังวาล ทองเนตร (รัฐศาสตร์ การปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น