กังวาล ทองเนตร

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่คลังปัญญา Pohthaiblogspot.com

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2564

กระดานทิกเกอร์ไม่ได้มีแต่หุ้นสามัญอย่างเดียว

 


ที่เห็นบนกระดานหุ้นตามรูปที่ผมนำมาให้ดูนี่ มันคืออนุพันธุ์ทั้งสิ้น บอกแล้วว่าอนุพันธุ์ จะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ แยกย่อย ซอยถี่ออกมายิบย่อยหลายชนิด

ในรูปนี้เป็นกลุ่ม DW  ที่อ้างอิงดัชนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้น หั่งเส็ง ตลาด ดาวโจนส์ S&P เวียตนาม และแนสแด็ก เป็นต้น 

  • DW ก็เหมือนอนุพันธุ์ตัวอื่นๆที่ไม่มีมูลค่าโดยตัวมันเอง มันจะมีราคาตามตัวผลิตภัณฑ์ที่มันเกาะอยู่ แต่มันจะอ้างอิงดัชนีปริมาณการซื้อขายเท่านั้น ไม่สนมูลค่าการตลาด
  • กลุ่มDW  ผู้ออกผลิตภัณฑ์นี้คือ โบรกเกอร์ คุณว่าโบรกเกอร์มันคือใคร มันคือพอร์ทลงทุนแข่งกับเราพอร์ทหนึ่งในตลาด ดังนั้นก่อนมันจะออก ผลิตภัณฑ์ใด มันทำวิจัย ทิศทางมาเป็นอย่างดีแล้วว่ามันไม่แพ้เราแน่ มันจึงออกมาขายให้เรา
  • ส่วนกลุ่ม TFEX จะออกโดยตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอนุพันธุ์แต่ละกลุ่มจะมีความเสี่ยงสูงมาก เช่นเดียวกับโอกาสก็สูงมากเช่นกัน 50/50 ถูกก็เปลี่ยนเป็น 100 พลาดก็กลายเป็น 0 เป็น 0 จริงๆผมยืนยัน จะไม่เหมือนหุ้น อย่างน้อยก็เหลือใบหุ้นติดมือไว้ แต่อนุพันธุ์พลาดคือหมดตัวเลย

แต่ละกลุ่มแต่ละชนิดนอกจากเงื่อนไขไม่เหมือนกันแล้ว การเทรดก็ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อสิ ทั้งหมดนี้ ขึ้นกระดานทิกเกอร์กองรวมที่เดียวกัน คลิกซื้อมั่วๆสั่วๆฉิบหายได้


ดัชนีของตลาดหุ้นบอกอะไรได้บ้าง

  


  • SET INDEX มันคือเป้าเล็งในการที่เราจะตัดสินใจเทรดแต่ละครั้งเท่านั้น ไม่ใช่สาระหลัก แต่เราต้อง นำมันมาพิจารณาร่วมด้วย ก่อนการออกคำสั่ง แม้ไม่ใช่สารหลัก แต่มันคือจุดอ้างอิง มันบอกแนวโน้มได้ เพียงแต่ ข้อมูลเราต้องดีมากพอ เพราะการเล็งเป้าที่ set index เพียงอย่างเดียวจะโดนขาใหญ่แหกตาได้


  • บางทีทิศทางตลาดกำลังเป็นขาขึ้น แต่ถูกขาให้สร้างมายาภาพให้น่ากลัว เทหุ้นออกมา เพื่อบีบรายย่อย มอบตัวคืนของให้มัน
  • บางทีเป็นเทรนด์ขาลง ก็รายใหญ่อีกเช่นกัน กระชากตลาดขึ้น จนเม่าเชื่อแล้ววิ่งตาม


ทำไมขาใหญ่จึงกำหนดทิศทางตลาดได้ขนาดนั้น

ก็เพราะทุนในมือที่เขามีมหาศาล เทใส่หุ้นกลุ่มไหนกลุ่มนั้นก็ขึ้น ทิ้งกลุ่มไหนกลุ่มนั้นก็ร่วง และมันจึงส่งผลต่อ ดัชนีของตลาด ที่จะบวก หรือ ลบ โดยตรง

ผมจึงพูดอยู่เสมอว่า ในตลาดหุ้นมันมีมากกว่าหุ้น ในกระดาน ticker มันคือภาพมายา ใน bid -offer มันล้วนหลอกทั้งสิ้น

นี่ไม่ต้องพูดถึงพวกเทรดหุ้นโดยใช้กราฟ สัญญาณเทคนิค บ้าบอ หลอกคนยังหลอกได้ กะอีแค่หลอกกราฟมันจะยากอะไร ใครดูกราฟ นับเวฟ จ้องวอลุ่ม มึงเจ๊งทุกราย ก็เพราะขาใหญ่มันรู้ว่า แมงเม่าหลายล้านคน นั่งเฝ้า นั่งจ้องตรงนี้ทั้งนั้น

มันจะเอาหุ้น จะเอาเงินจากเม่า มันก็ทำให้เม่าเห็น ให้เข้าเบ้าตาแมงเม่าเต็มๆ และก็ได้ผลทุกครั้ง

ถ้าเราเข้าใจปรัชญาการลงทุน เข้าใจว่าหุ้นคืออะไร ผลิตภัณฑ์ทางการเงินแต่ละประเภทมีอะไรบ้าง มีเงื่อนไขการเทรดอย่างไร กลไกตลาดมีอะไรบ้าง ข้อกำหนดต่างๆ มาตรการควบคุมการซื้อขาย เครื่องหมายหรือป้ายสัญญาณเตือนต่างๆที่ กลต.ยกชูขึ้นมาแต่ละป้ายคืออะไร ถ้าเราถอดรหัสสัญญาณนั้นไม่ได้ ก็จอด

ผมพูดเสมอว่าเราซื้อหุ้น ไม่ได้ซื้อตลาด ดังนั้น น้ำหนักการตัดสินใจจึงเอียงข้างไปที่ข้อมูลของหุ้น ไม่ใช่ข้อมูลตลาด แต่ตลาด หรือ ดัชนี มีไว้เล็งและก่อนยิงดูให้ดีว่า เป้าจริงเป้าหลอก

ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ จึงเป็นของจริง เราต้องรวบรวม ดาต้า หรือข้อมูลดิบ มาคัดแยก แบ่งกองแบ่งกลุ่ม ให้เป็น สารสนเทศ ให้ได้ก่อน จากนั้น นำสารสนเทศที่ได้ มาสังเคาะห์ให้เป็นความรู้ แล้วจึงนำความรู้ไปใช้ในการตัดสินใจ ซื้อ หรือ ขาย

การเทรดหุ้นแต่ละคำสั่ง มิได้ใช้เงินหลักร้อยบาท แต่เป็นเงินหลายหมื่น หลายแสน หลายล้าน หลายสิบล้าน ในการ ซื้อ จึงต้องคิดวิเคราะห์ให้ครบทุกมิติ เสียก่อน อย่าให้ อีโลภ อีหลง ถือธงนำ ไม่เช่นนั้น ตลาดหุ้นก็คือ หลุมฝังศพ


การทำคิวอี QE มีผลต่อตลาดหุ้นอย่างไร

 


สำหรับนักลงทุน ไม่ว่าตลาดไหน จะตราสารหนี้ ตราสารทุน ก็ต้องให้จับตาการประชุมของเฟดให้ดี ในวันที่ 21-22 นี้ เพราะประเด็นหลักที่เฟดจะนำเข้าที่ประชุมและกระทบต่อตลาดคือ การลด QE

  •  ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจก่อนว่า QE หรือ Quantitative Easing คืออะไร ผมจะอธิบายเป็นภาษาบ้านๆ ให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การทำ Quantitative Easing ( QE ) ก็คือ การอัดฉีดเม็ดเงิน หรือการเสริมสภาพคล่อง ด้วยการเติมเม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น การใช้เงินเข้าซื้อพันธบัตร ตราสารหนี้ต่างๆ ที่เป็นสินทรัพย์ เพื่อเสริมสภาพคล่องระบบ หรือแม้กระทั่ง พิมพ์เงิน หรือปั๊มเงินขึ้นมาเพิ่ม เพื่อการเดียวกันคือ อัดฉีดเข้าไปในระบบ รักษาสภาพคล่องระบบ ให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้

ดังนั้นจะเห็นว่าการทำ QE ไม่ได้ทำในภาวะที่เศรษฐกิจดี แต่จะทำในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เมื่อเราเข้าใจเป็นเบื้องต้นดังนี้ เราก็จะพิจารณาได้ว่า การทำ QE  กับการยกเลิก QE จะมีผลกระทบต่อ ตัวเลขทางเศรษฐกิจใดบ้าง

  • เมื่อเราพิจารณา ตั้งแต่ไบเดนเข้ามาเป็นรัฐบาล แนวโน้มเศรษฐกิจอเมริกามีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าสมัย ทรัมป์มาก

และการทำ QE รัฐบาลต้องแบกรับภาระทางการเงินสูงมาก 

  •  จึงมีระยะเวลากำหนด เป็นครั้งคราวไปเท่านั้น เมื่อรัฐบาลมองเห็นว่า ระบบเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวเองและเดินด้วยลำแข้งตัวเองได้ รัฐบาลก็จะยกเลิกมาตรการนี้เสีย
  • แนวโน้มที่เฟดจะลดการทำคิวอีลง ก็มีโอกาสเกิดขึ้นสูง ใช้คำว่า ลด ไม่ได้ใช้คำว่าเลิก คือยังคงประคองๆกันไปก่อนสักระยะรอดูอาการ
  • เมื่อแนวโน้มการลด คิวอีลง ก็หมายความว่า เงินที่เคยถูกนำไปซื้อพันธบัตรไว้จะถูกขายหรือไถ่ถอนออกมา ตลาดพันธบัตรซึ่งเป็นตลาดตราสารหนี้ มีความเสี่ยงต่ำ กว่าตลาดหุ้น ซึ่งเป็นตลาดทุน นักลงทุนที่เคยใส่ทุนไว้ในตลาดตราสารหนี้ ก็จะได้ผลตอบแทนต่ำตามไปด้วย เมื่อ มีการถอนทุนออกไป

กรณีนี้ นักลงทุนจึงจะโยกทุน ออกจากตลาดตราสารหนี้ ไปใส่ตราสารทุนแทน เพื่อให้ตนเองมีระดับผลตอบแทนในระดับเดิมเป็นอย่างน้อยหรือสูงกว่า

  • ส่วนตลาดทอง ราคาทองก็จะร่วงลงทันที ถ้าเราถือทอง ก็ต้องวัดใจว่า เฟดจะเอาไง เพราะถ้าเฟดลดคิวอี ทองร่วงกองพื้น เราอาจขายออกไม่ทัน ส่งผลพอร์ทลงทุนเราเสียหายได้ แต่ถ้าขายออกก่อน แต่ตัวเรายังติดดอยอยู่ ก็ยอมขาดทุน คุณก็ตัดสินใจเองว่าจะเอาอย่างไร
  • ส่วนตลาดหุ้น ซึ่งยืนตรงข้ามกับทอง และตราสารหนี้ทั้งหลาย เมื่อพันธบัตร กองทุนต่างๆให้ผลตอบแทนต่ำ ทุนจะถูกโยกออกมาเข้าตลาดหุ้นทั่วโลกแทน ตลาดหุ้นจะคึกคักขึ้นทันที รับ คิว 4

สรุปคือ เฟดออกทางไหนมีคนได้คนเสียแน่นอน เราจะตัดสินใจยืนตรงจุดไหนก็ชั่งน้ำหนักใจตัวเองดู สำหรับผม เก็บหุ้น ดักไซแห้งรอพายุเข้า

ลัทธิคลั่ง




พวกที่เป็น Constitutionalism ก็จะเหมือนพวกคลั่งคัมภีร์ทางศาสนานั่นล่ะ 

  • พวกนี้มิได้ศึกษาคัมภีร์เพื่อรู้แจ้งเห็นจริง หรือค้นหาความจริงในนั้น และนำมาย่อยมาแยกแยะ ถอดออกมาเป็นส่วนๆ เพื่อหาแก่นแท้ และคัดเอาแต่ของดีมาสอนกัน แต่คนพวกนี้จะกอดคัมภีร์แน่น เหมือนติดยาเสพติด ทำให้คนเห็นว่ากูเชี่ยวชาญคัมภีร์ กูรู้ กูจดจำได้ทุกอักษร จากนั้นก็ใช้คัมภีร์มาเป็นฐาน ยกตัวเองให้สูงกว่าคนอื่น ใช้คัมภีร์เป็นข้ออ้างในการกดขี่คนอื่น ใช้คัมภีร์เป็นบรรทัดฐานความดี ของตน

  • ใช้คัมภีร์สร้างฐานอำนาจ ใช้คัมภีร์ระดมคน ใช้คัมภีร์เป็นอาชีพ ใช้คัมภีร์เป็นขุมทรัพย์เป็นนากิน
ถ้าใครมาแตะต้อง คือผิดคือเลว คือไม่ถูก คือนอกรีต คือไม่ดี ตามมาด้วยการลงโทษคนนั้น เพียงเพราะเขามีสิทธิค้นหาความจริง มีสิทธิที่จะปรับแก้สิ่งล้าหลังหลายพันปีให้ทันสมัยขึ้น แต่กลายเป็นคนเลว คนบาปของศาสนา ของการปกครอง จากการชี้นิ้วของไอ้คนกอดคัมภีร์ สุดท้ายต่างฝ่ายต่างยึดติดคัมภีร์ศาสนา ยึดคัมภีร์การเมืองสำนักตนเอง ว่าของกูดีกว่า ของมึงควรฉีกทิ้ง เผาไฟ ห่อไข่ เช็ดก้น ยั่วยุกันไปมา
สุดท้ายนำไปสู่สงคราม ฆ่าล้างกัน
  • ดังนั้นพวกบ้าศาสนา จะเป็นคนเดียวกันกับพวกบ้าคัมภีร์ ติดยึดคัมภีร์
เช่นเดียวกัน พวกบ้าการเมืองหรือคลั่งการเมือง ก็คือคนเดียวกันกับพวกติดยึดคัมภีร์การเมือง แข่งกันร่างแข่งกันเผาแข่งกันชี้หน้า
สุดท้ายท้ายสุด
  • ทั้งบ้าศาสนา และบ้าการเมือง มันคือพวกที่ทำให้โลกไม่สงบสุข คือพวกก่อสงครามจุดไฟสงครามใส่โลกทุกหัวระแหง
ทั้งหมดของพวกคลั่งนี้มีเป้าหมายเดียวกันคือ ผลประโยชน์ อำนาจ และ เงิน


ทั้งคัมภีร์การเมืองคัมภีร์ศาสนา คัมภีร์เศรษฐกิจ มีแก่นแท้อยู่ที่เดียวกันคือ ทำไมต้องมีคัมภีร์

  • ก็เพื่อให้เป็นแบบแผน นั่นคือเป้าหมายหลัก คือต้องการให้เป็นแบบแผนปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางที่ดีงาม ทางเจริญ
  • ดังนั้นข้อความตัวอักษร เป็นเพียงสิ่งที่ผู้สร้างคัมภีร์หรือทฤษฎี พยายามจะออกแบบให้คนเข้าใจได้ ประพฤติได้ เป็นไปได้ ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะไปตามทางนั้นได้
  • อักษรในทุกคัมภีร์จึงเกิดมาจากแนวคิด มันจึงสามารถแก้ไข ปรับเปลี่ยน ถกเถียง กันได้เสมอถ้าเห็นว่าไม่เข้ากับยุคสมัย
แต่กรอบความคิดคือ อยากให้คนเป็นคนดี อยู่ร่วมกันโดยสงบสุข ต้องรักษาไว้ เพราะมันคือกรอบหลัก ส่วนเนื้อใน อยู่อย่างไร อยู่ที่ไหน แก้ไขดัดแปลงได้ ตามสภาพสังคมขณะนั้นๆ
  • อย่าเป็นแค่บัณฑิตที่รู้แต่ทฤษฎี อ่านแค่หนังสือออก แต่ไม่สามารถถอดแยก ขี่ทฤษฎี สร้างทฤฎีใหม่ได้ ก็เป็นแค่บัณฑิตผู้รู้หนังสือ ไม่สามารถเป็นปราชญ์ได้






การเงินการคลังต่างกันอย่างไร




การเงิน กับการคลัง มันเป็นคนละอย่างกัน
  •  ในฐานะที่จบรัฐศาสตร์สายปกครองมา เราจะได้เรียน นโยบายสาธารณะ การจัดทำนโยบายสาธารณะต่างๆมาจนแน่นหัว อธิบายนิดเดียวให้เห็นความต่าง
นโยบายการคลัง 
กรอบมันอยู่ที่ การรับผิดชอบ ในการหารายได้เข้ารัฐเพื่อใช้จ่ายในการบริหารประเทศ การจัดทำงบประมาณต่างๆ เอาแค่นี้พอ
ส่วนนโยบายการเงิน จะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของธนาคารกลาง ของประเทศนั้นๆ ของไทยก็ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเรียกติดปากว่าแบงค์ชาติ

นโยบายการเงิน 
ก็จะตีกรอบว่าด้วยเรื่องการเงินล้วน เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา การดูแลรักษาสภาพเงินเฟ้อ เงินฝืด คืออะไรที่เกี่ยวกับเงิน กับกระแสเงิน ที่เงินมันหมุนเวียนในระบบ และมีปัญหาติดขัด สะดุด เป็นนโยบายการเงิน ซึ่งบริหารนโยบายนี้โดยแบงค์ชาติ
  • สรุปง่ายๆคือ การคลังมีหน้าที่หาเงินมากองไว้ ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม เช่นเก็บภาษี กู้ ยืม เงินบริจาค การลงทุน เป็นต้น แล้วได้เงินมากองไว้ ให้เป็นรายได้และรายจ่ายให้รัฐบาล
จากนั้นการไหลของเงิน วิธีการใช้เงิน การควบคุมทิศทางเงินออกเงินเข้า อันนี้แบงค์ชาติดูแล เป็นนโยบายการเงิน แต่มันต้องสอดคล้องไปทิศทางเดียวกันนะครับ
อันนี้ความคิดเห็นผมเอง ผมพบว่าพักหลังมานี่ การเงินกับการคลังไม่ไปทางเดียวกัน ไม่สอดคล้องกัน ผลก็อย่างที่เห็นนี่แหละ

กังวาล ทองเตร ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง


ลัทธิรัฐธรรมนูญ




ต้นแบบประชาธิปไตยทั้ง3รูปแบบ เขามีรัฐธรรมนูญอย่างไร จะย่อยให้ฟังพอสังเขป


1.อังกฤษ ต้นแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ไม่มีรัฐธรรมนูญแม้ฉบับเดียว มีแค่เอกสารข้อตกลงสมัยพระเจ้าจอห์น คือแมกนาคาร์ตา และอังกฤษ เป็นต้นแบบ ของประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือระบบจารีต หรือระบบ common law ทั้งหมด

2.อเมริกา ต้นแบบประชาธิปไตย รูปแบบประธานาธิบดี แบ่งแยกอำนาจ
มีรัฐธรรมนูญที่สั้นที่สุดในโลก คือมีแค่ 7 มาตรา 4,440 คำเท่านั้น ไม่เคยฉีกทิ้งตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ มีแค่การแก้ไข บางมาตราที่ล้าหลังไม่เข้ายุคสมัยเท่านั้น

3.ฝรั่งเศส แม่แบบประชาธิปไตยรูปแบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา
เริ่มจากการปฏิวัติฝรั่งเศส รัฐธรรมนูญฉบับแรกถูกเขียนขึ้นตามหลักกฎหมาย civil law แต่เพราะการเมืองการปกครองหลังปฏิวัติยังไม่นิ่ง คือเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองสลับกันไปมาอีกหลายรอบ ทั้งฟื้นฟูระบบกษัตริย์ ระบบจักรวรรดิ์ ระบบสาธารณรัฐ
  • แม้แต่ระบบสาธารณรัฐเองก็มีหลายยุค มีสาธารณรัฐที่1ถึงที่5
แต่ละยุคสมัยการปกครอง ก็จะมีรัฐธรรมนูญของตนเอง
ฉบับปัจจุบันใช้มาแต่ยุคสาธารณรัฐ สมัย ชาร์ล เดอ โกล เป็นประธานาธิบดี มีทั้งสิ้น 17หมวด 89มาตรา แก้ไขมาแล้ว 24ครั้ง แต่ไม่เคยฉีกทิ้งอีกเลย
เนื้อในก็เป็นการวางโครงสร้าง รูปแบบรัฐแบบกว้างๆ ที่มาของรัฐบาล ที่มาของประธานาธิบดี การเข้า-ออก อำนาจ วาระการดำรงตำแหน่ง
ที่มาของฝ่ายนิติบัญญัติ
จะไม่มีรายละเอียดหยุมหยิม
เพราะเขาจะวางไว้ในกฎหมายเฉพาะตัวอื่น
  • นี่คือประเทศแม่แบบประชาธิปไตย ของโลก ยุคปัจจุบัน ทั้งหมด3รูปแบบ
หรือใครจะย้อนไปยุคคลาสสิคนีโอ แบบนครรัฐ เอเธนส์ กรีกโบราณ จุดเริ่มต้นการก่อเกิดประชาธิปไตย ก็เอา แค่ต้องมีหลักยึด มีที่อ้างอิง มีการศึกษาข้อมูลให้ดี ไม่งั้นมันจะเป็นต้นแบบประชาธิปไตยแบบ ที่4 คือแบบ จับฉ่าย จับไรได้ ชอบกินไรก็โยนแม่งลงหม้อไป








เปรียบเทียบที่มาวุฒิสภาของประเทศต้นแบบประชาธิปไตย



  •  ในประเทศที่เป็นแม่แบบหรือต้นแบบประชาธิปไตย วุฒิสภาของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ผมจะให้ข้อมูล พอสังขป เพื่อให้เปรียบเทียบ เริ่มจาก
1.อังกฤษ จะมีสภาสูงที่ไม่เรียกว่าวุฒิสภาแต่เรียกว่าสภาขุนนาง House of Lord มีสมาชิกจำนวน 1200 คน 
มาจากการสืบเชื้อสายและเป็นสมาชิกสภาติดต่อกันจนกว่าจะตาย และให้ทายาทสืบต่อได้อีก แต่หากประสงค์จะลงเล่นการเมืองก็ให้สละ ตำแหน่งนี้ทิ้งไป หมายถึงถ้าสละแล้วการสืบเชื้อสายจะหมดสิทธิทันที ดังนั้นพวกที่มาจากสืบเชื้อสายจึงไม่มายุ่งเกี่ยวการเมืองเพื่อรักษาสถานภาพฐานันดรขุนนางของตนเองไว้
สมาชิกอีกส่วนมาจากตัวแทนปรระเทศในเครือต่างๆทั้งเวลล์ สก๊อต (ไปหาอ่านที่มาได้ผมเขียนไว้หลายเว็บหลายที่ )
แต่โดยหลักการแล้วสภาขุนนางนี้จะไม่ทำงานหรือแทบจะไม่มีการเปิดประชุม ออกความเห็นทางการเมืองใดๆเลย จนได้รับฉายาว่าเป็นสภาที่มีสภาชิกมากที่สุดและขี้เกียจที่สุด
2. อเมริกา จะมีวุฒิสภา เรียกชื่อว่า สภาซีเนท Senate เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ที่ระบุให้วุฒิสภา เป็นตัวแทนแห่งรัฐ โดยมีตัวเลขสมาชิกสภาตายตัว คือรัฐละ 2 คน ไม่อิงกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง อเมริกามี 50 รัฐ วุฒิสภาเป็นตัวแทนแต่ละรัฐจึงมีรวม 100 คน มีอำนาจอนุมัติสนธิสัญญา และให้ความเห็นกรณีที่ประธานาธิบดีแต่งตั้งเจ้าหน้า บุคคลต่างๆและกลั่นกรองกฎหมาย

3.ฝรั่งเศส วุฒิสภาฝรั่งเศสมาจากการเลือกตั้งทางอ้อม จากตัวแทนสภาท้องถิ่น ตัวแทนหน่วยงานทางปกครองท้องถิ่น คือถ้า อธิบายแบบไทยๆก็คือ ตัวแทนสภา อบต.อบจ.เทศบาล รวมถึงตัวแทนข้าราชการและบุคลากรท้องถิ่น ทั้งหมด 150,000คนเป็นคนเลือกวุฒิสภา
  • ผมมองว่านี่เป็นความฉลาดของคนออกกฎ รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส เพราะเขาให้ท้องถิ่นเป็นนายวุฒิสภา แน่นอนว่าเวลามีกฎหมายที่กระทบท้องถิ่น วุฒิสภาพวกนี้จะโดดเข้ามาปกป้อง หรือกรณีที่ท้องถิ่นได้ประโยชน์ วุฒิสภาเหล่านี้ก็จะรีบฉวยประโยชน์ให้ท้องถิ่นเช่นกัน
คือเป็นการบริหารการเมืองที่ลงตัวและน่าทึ่งที่สุดตามทัศนะผม คือ มีวุฒิสภาก็ได้ แต่มาจากท้องถิ่นเลือกนะ เพื่อจะให้วุฒิสภาทำงานสนองตอบต่อท้องถิ่นที่เลือกตัวเองมาเป็นวุฒิสภา

นี่คือต้นแบบประชาธิไตยทั้ง 3 รูปแบบว่ามีวุฒิสภากันอย่างไร

  • ส่วนที่ไทย เดิมที่เดียวตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 1-2 ประเทศไทยใช้ระบบสภาเดี่ยว คือไม่มีวุฒิสภา จนมารัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 (2489 ) หรือว่ากันว่าเป็นฉบับปรีดี เกิดสภาที่สองขึ้นมา เรียกชื่อว่า พฤฒสภา (ผมมิได้พิมพ์ผิดนะ ) อ่านว่า พึด-สะ-พาพฤฒสภานี้มาจาก 2 ทางคือการเลือกตั้งทางอ้อม และแบบลับ หมายถึงให้ส.ส.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดนึง ชื่อว่าองค์การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา ให้คณะนี้เลือกผู้ที่จะเข้ามเป็นสมาชิก พฤฒสภา
ต่อมาเกิดรัฐประหาร โดยจอมพลผินและประกาศใช้รัฐธรรมนูฐฉบับ ที่ 4หรือฉบับ 2490 ฉายาใต้ตุ่ม มีการเปลี่ยนชื่อจาก พฤฒสภา มาเป็นวุฒิสภาจนวันนี้ และใช้ระบบ 2 สภาเรื่อยมา

กังวาล ทองเตร ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง






หุ้นคือมายาภาพ

 





  • ผมจะชี้ขุมทรัพย์ ให้สำหรับนักลงทุนทั้งมือเก่า แต่ไปไม่ถึงไหน และมือใหม่ที่หัวยังกลวงๆ แต่ฝันเห็นแต่เงินล้าน ให้ได้นำไปใช้ประโยชน์

ในภาพนี้คือกาแฟ กาแฟชัดๆ ไม่ว่าจะยกแก้วนี้ไปถามใคร มันก็จะตอบว่ากาแฟ ซึ่งไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก

เพราะคนเราจะตอบตามประสบการณ์ ตามตาเห็น ตามองค์ความรู้ที่ตนเองมีอยู่ ซึ่งกาแฟแก้วนี้ ก็เหมือนกับ กระดานทิกเกอร์ ที่ใครมอง ถามใคร มันก็ตอบว่า กระดานซื้อขายหุ้น

  • การเทรดหุ้นให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องมองสิ่งที่คุณเห็น แต่ไม่เป็นสิ่งที่คุณเห็นให้ได้ก่อน ความรู้นี้ ผมสอนคนมามากพอสมควร ที่จริงในบทความก่อนหน้านี้ก็เคย

เราต้องใช้ความรู้ระดับอภิปรัชญา หรือ ปรมัตถ์ มามองมาวิเคราะห์ ผนวกกับความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ที่เราประยุกต์มาให้เข้ากัน มาจับ เราจึงจะพบว่า อ๋อ มันไม่ใช่กาแฟ

ตามวิชาอภิปรัชญา สิ่งที่เราเห็นว่ามันคือกาแฟ เขาเรียกว่า ความจริงขั้นสมมุติ 

คือมันมีความจริงอยู่ มีตัวตนอยู่จริง และกองอยู่ตรงหน้าเรานั้น แต่เราไม่รู้ว่า แท้จริง มันคือสิ่งใด เขาจึงเรียกมันว่า ความจริง ขั้นสมมุติ คือ สมมุติ ไว้ก่อนว่ามันคือ กาแฟ หรือ มันคือน้ำ

จากนั้นเราค้นหาคำตอบ นำกาแฟแก้วนี้มาศึกษา มาแยกส่วนออก เราจะพบว่า มันมีน้ำ เป็นตัวหลัก มี กาแฟ มีน้ำตาลทราย มีนมข้น มีนมสด นมจืด นมหวาน ก็แล้วแต่จริต มีครีมเทียม มีน้ำผึ้ง อาจมีน้ำปลา หรือผงชูรสด้วย ใครจะรู้ จริตใครมัน

ดังนั้น กาแฟ 1 แก้ว ที่เราเห็น มันจึงไม่ใช่แค่กาแฟแล้ว แต่มันมีอย่างอื่นอีก

กาแฟที่ตาเราเห็นนี่เองคือ ข้อมูลดิบที่เราได้รับมา เรียกว่า ดาต้า Data 

  • มาเมื่อเราแยกให้เห็นเป็นน้ำตาล เป็นอะไรออกมาได้ เรียกขั้นนี้ว่า สารสนเทศ information และขั้นนี้ ในวิชาอภิปรัชญาเรียกมันว่า ความจริงขั้นสมมุติ จากนั้น นำ น้ำไปแยกย่อยหาโมเลกุล หรือสารประกอบใน อะตอมของมัน จะพบว่า ไอ้ที่เรียกว่าน้ำ มันไม่ใช่น้ำ มันคือ H2O คือไฮโดรเยน 2ส่วน ออกซิเยน 1 ส่วน เมื่อนำ สาร 2ชนิดนี้นำมารวมกัน ในสัดส่วนเท่าเดิม มันจะกลายเป็นของเหลว ที่เราเรียกมันว่าน้ำ (ความจริงขั้นสมมุติ ) แต่เมื่อเราแยกน้ำ ออกมาจนเห็นความจริงว่า มันคือ H2O และนำวิธีการนี้ไปให้คนอื่นทำตาม ก็ได้ผลลัพธ์ตรงกัน ทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ไหนในโลก ก็ตรงกัน 
  • H2O จึงเป็นขั้นความรู้ หรือ Knowledge  หรือ อภิปรัชญา หรือ ความจริงอันประเสริฐ หรือความจริงอันสูงสุด หรือ ปรมัตถ์ นั่นเอง และเราก็ทำแบบนี้ กับ ไอ้ที่เป็นเมล็ดกาแฟ ทำแบบนี้กับไอ้ที่เรียกว่า น้ำตาล นม ผงชูรส ก็ว่าไป ทำให้จนพบความจริง และเป็นความจริงที่สูงสุดแล้ว เราจะได้ ปรมัตถ์ นี่คือการประยุกต์ ความรู้ อภิปรัชญามาเทรดหุ้น มาหาหุ้น



  • จากนั้น ปรับหรือประยุกต์ ความรู้เศรษฐศาสตร์ มาใช้ร่วมกันอีก เราจะพบว่า วิชาเศรษฐศาสตร์ เขาเรียก กาแฟแก้วนี้ว่า 

 " สินค้าร่วม " หมายถึง คนที่กินกาแฟดำ เพียวๆ ก็มี แต่มีน้อย ส่วนคนกินกาแฟ ผสมครีมเทียม ผสมน้ำตาล นมข้น นมสด น้ำปลา น้ำผึ้ง มะนาว ก็มี เราไม่สนมันว่าใครจะกินอย่างไร

เราสนมันเพียงว่า กาแฟ คือ ตัวหลัก อย่างอื่นที่อยู่ในแก้วกาแฟคือสินค้าร่วม ดังนั้น เมื่อประยุกต์มาใช้กับการเทรดหุ้น เราก็ต้องหา สินค้าตัวหลัก หรือ กาแฟนี้ให้เจอก่อน เมื่อคุณเจอกาแฟ คุณจะเจอครีมเทียม น้ำตาลทราย นมสด นมข้น ตามมา เป็นหางว่าว

คุณเห็นกาแฟขึ้นมา คุณซื้อกาแฟไม่ทัน แต่คุณรู้ว่า ในแก้วกาแฟมีอะไรบ้าง แล้วมันราคายังไม่ขึ้น คุณก็ดักซื้อหุ้นกลุ่มนั้น เพราะมันคือสินค้าที่ใช้ร่วมกัน ไม่มีใครจะซื้อครีมเทียม มาเทกินกับข้าว เพียงลำพัง มันต้องใช้ร่วมกับสินค้าอื่น คุณอ่านออกคุณก็ชนะตลอดไป

เห็น น้ำมันขึ้น น้ำมันก็คือกาแฟ แล้วอะไรคือครีมเทียม คือน้ำตาล หาให้เจอ ใช้ ปรมัตถ์ค้นหาความจริง เราจะเจอตัวตนมันจริงๆ ไม่ถูกขาใหญ่หลอก