เพาะไทยบล็อกสป็อต.คอม เป็นบล็อกส่วนตัวที่ใช้แสดงและเผยแพร่ผลงานของผู้เขียน ไม่ว่าจะเป็น ความรู้ทางรัฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง วรรณกรรม ศิลปะอื่นๆ เป็นแหล่งเพาะเมล็ดพันธุ์ไทยให้เติบใหญ่อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ เป็นลิขสิทธิ์เด็ดขาดเพียงผู้เดียวห้ามคัดลอกตัดตอนดัดแปลงเนื้อหาเพียงบางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน และ ขอต้อนรับ มวลมิตร ทุกๆท่าน ขอบคุณที่ติดตามและแวะมาเยี่ยมชม ( กังวาล ทองเนตร )
กังวาล ทองเนตร
วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555
อย่ายอมตายเพื่อใคร
ชีวิตของคนไทย
ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ เราถูกอิทธิทางความคิด ถูกแบบแผน กฎเกณฑ์ทางสังคม ถูกความคิดของผู้อื่น ยัดเยียดเข้าไปอยู่ในเซลล์สมองเราตั้งแต่เรายังแยก ผิด-ชอบ, ดี-ชั่ว ยังไม่ได้
เรามารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ความคิดขยะของผู้อื่นเข้าไปเต็มความจุของสมองเราแล้ว จนบางคนไม่สามารถลบล้างความคิดที่ถูกยัดเยียดและปลูกฝังนั้นออกไปได้
เราถูกสอนให้เชื่อ มากกว่าให้คิดเองว่า ทำไมต้องเชื่อ
เราถูกสอนและบังคับให้กราบ ทั้งที่เราไม่เคยรู้จักคนที่เรากราบ และก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องกราบ โดยที่ไม่ยอมเปิดช่องให้เราตั้งคำถามและเสนอความคิด
เราถูกสอนว่าให้เสียสละชีวิต เพื่อคนโน้นคนนี้ ทั้งที่เขาไม่เคยมาตักข้าวใส่ปากเราแม้เพียงเมล็ดเดียว
ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ เมื่อเราเติบโตขึ้น เราจะเริ่มใช้ความคิดของตนเองมากขึ้น วิเคราะห์มากขึ้น มีเหตุปัจจัย มีข้อมูล มากขึ้น ประกอบการตัดสินใจของเรา
แต่ความรู้ที่เราได้สังเคราะห์ขึ้นมาใหม่นี้ มันมักจะสวนทาง กับ แบบแผน และวัฒนธรรมทางสังคมที่เราอยู่อย่างสิ้นเชิง เมื่อเราแสดงออกความรู้นั้น ผ่าน การพูด การเขียน การโฆษณา เรามักจะตกเป็นจำเลยทางสังคมไม่มากก็น้อย ในฐานะที่ไม่เคารพภูมิหลังทางสังคม ไม่เคารพวัฒนธรรมทางสังคม
เมื่อเราแสดงออกไม่ได้ทั้งที่เรามีองค์ความรู้นั้น เราก็จะอยู่ในสังคมนี้อย่างเสียมิได้ ไม่ได้ต่างจากหุ่นยนต์ ที่ถูกโปรแกรมมาว่า ให้พูด ให้กระทำ ให้โต้ตอบ ได้ตามที่โปรแกรมได้ตั้งค่าไว้เท่านั้น โดยไม่มีจิตสำนึกและวิญญาณที่แท้จริงแห่งตัวตนแต่อย่างใด
สังคมไทยมันจึงเหมือนคนที่กำลังอั้นถ่ายอุจจาระมานานแสนนาน รังแต่คนที่อั้นนั้นจะป่วยตาย ของเก่ามันจะออกไม่ให้มันออก ฝีมันถึงเวลาจะแตก ไม่ยอมให้มันแตก สุดท้ายก็มีสภาพ ป่วยทั้งเมืองอย่างที่เป็น อย่างเห็นในทุกวันนี้
ธรรมชาติของมนุษย์ควร ได้มีโอกาสในการคิด วิเคราะห์ ตั้งสมมุติฐาน หาหลักฐาน หาความจริงมาประกอบ ความคิดความเชื่อนั้นด้วย
ส่วนตัวผมมองมนุษย์ทุกคนบนพื้นฐานเดียวกันคือ เป็นมนุษย์ขี้เหม็นเหมือนกัน อยู่ในวัฎจักร วงจรชีวิตเดียวกัน มีอวัยวะทุกส่วนเหมือนกัน และที่สำคัญ ปฏิสนธิ มาจากไข่และอสุจิ เติบโตมาจากมดลูก ลอดออกมาจากช่องคลอดมารดาเหมือนๆกันทั้งสิ้น
เมื่อพื้นฐานเรามีที่มาเท่าๆกัน เราจึงเท่าเทียมกันทางธรรมชาติ สิ่งที่เราจะเคารพกันในสังคมคือ
1. เคารพในหน้าที่ คนๆหนึ่งจะมีหน้าที่ใดในสังคม เราเคารพในหน้าที่นั้นตามความเหมาะสมแก่ตำแหน่ง
2. เคารพในบทบาท บุคคลๆหนึ่งอาจมีหลายบทบาทได้ เช่น เป็น เจ้านายของใครหลายคน แต่ก็เป็นลูกน้องใครหลายคน หรืออาจ เป็น พ่อ เป็นแม่ ซึ่งแต่ละบทบาทแตกต่างกันออกไป
3. เคารพในสิทธิ บุคคลๆมีสิทธิโดยสมบูรณ์ในการกระทำ หรือละเว้นการกระทำนั้นและกฎหมายให้การรับรอง ตราบที่ไม่ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่น
4. เคารพในหลักเหตุผล ความเห็นของเราจะแตกต่างกันอย่างไรก็ได้ และเรามีสิทธิโดยชอบที่จะแสดงและกล่าวอ้างถึงหลักเหตุผลที่เรา เชื่อเรามีได้ตามความจำเป็น
5. หลักเสียงข้างมากและการยอมรับ เป็นหลักการหาข้อยุติ ในกระบวนการความคิดความเห็นใดก็ตาม เมื่อเราได้แสดงออกถึงความคิดและเหตุผลนั้นแล้ว กระบวนการยุติหรือหาข้อสรุปในความคิดนั้นก็คือหลักการเสียงข้างมากของสมาชิกในสังคม ถือเป็นข้อยุติ
ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงก็คือแบบแผนชีวิตทั่วไปที่เราใช้ดำเนินชีวิตในสังคมนั่นเอง หรือก็เป็นแบบแผนทางการปกครองรูปแบบประชาธิปไตยนั่นเอง
เมื่อเรามีหลักคิดได้ดังนี้แล้ว เราก็สามารถแยกแยะออกได้ว่า ส่วนใด แค่ไหน อย่างไร
เมื่อเรามีหน้าที่ใด เราสวมตำแหน่งใด บทบาทใดในสังคม เราต้องดำเนินบทบาทนั้น หน้าที่นั้นให้ดีที่สุด
คนเป็นทหารก็ปกป้องชาติและแผ่นดิน
ผู้มีบทบาทเป็นพ่อแม่ ก็สวมบทบาทนั้นให้ดี
ผู้มีบทบาทเป็นผู้นำก็ดำเนินบทบาทของตนอย่าให้บกพร่อง
ผู้เป็นลูกก็สวมบาทของตนเช่นเดียวกัน
คนในสังคมแม้จะมีพื้นฐานความเป็นคนตามธรรมชาติแบบแผนเดียวกัน
แต่คนในสังคมไม่ได้เคารพคนทุกคนเสมอเหมือนกัน
คนที่เป็นบุพการี ของเราเราย่อมให้ความเคารพมากกว่าบุคคลอื่นเป็นธรรมดา ในฐานะผู้ให้กำเนิด เลี้ยงดู เราย่อมสละชีวิตให้บุคคลเหล่านี้ได้ และบุคลลเหล่านี้ก็ย่อมสละชีวิตเพื่อเราได้เช่นกันตามธรรมชาติของมันเอง
ชาติหรือแผ่นดินเกิด อาศัย ทำกิน ก็เป็น อีกส่วนที่เราจะต้องแลกชีวิตเพื่อปกป้องไว้ได้เช่นกัน เพราะถ้าไร้แผ่นดินก็ไร้สิ้นเผ่าพันธุ์ และสถานะทางสังคมใดๆด้วย
พื้นฐานทั่วไปที่คนจะเสียชีวิตให้ได้ ก็มีเพียงเท่านี้
จะมีส่วนที่เพิ่มขึ้นมาได้อีก ก็เป็นกรณีเฉพาะบุคคลไป เช่น ผู้มีพระคุณอื่นที่ไม่ใช่บุพการี หรือ คนรัก คู่รัก แต่ไม่ใช่แบบแผนปฏิบัติทางสังคมโดยทั่วไป เป็นความกตัญญูกตเวทีที่บุคคลต้องสร้างและรักษาไว้เพื่อแสดงออกให้สังคมรับรู้
ดังนั้นนอกเหนือจากชาติ และบุพการี ผู้มีคุณแล้ว ตัวบุคคลอื่นใด ที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตผม ผมจะไม่ยอมสละชีวิตให้คนผู้นั้นอย่างเด็ดขาด และผมก็เชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นก็ไม่มีวันสละชีวิตเพื่อผมเช่นกัน
คำตอบของเราจึงง่ายมาก ใครที่เราจะเสียสละชีวิตให้ก็คือคนที่ยอมสละชีวิตให้เราเช่นกัน ส่วนแผ่นดินเกิด เป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องสละทุกอย่างเพื่อปกป้องและรักษาเอาไว้
วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555
บทเรียนจากกัมพูชา 2
พลพตผู้นำเขมรแดง
นับแต่ปี 1979 เรื่อยมา
- แผ่นดินของกัมพูชาเต็มไปด้วยสงครามกลางเมือง ระหว่างสารพัดฝ่ายที่ขัดแย้งกัน ได้ต่อสู้ฆ่าล้างกันจนเลือดแดงทาทั่วผืนดินกัมพูชา
- ส่วนหนึ่งที่นำมาซึ่งสงครามกลางเมือง ก็มาจากต่างประเทศที่เข้าแทรกแซง ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา ไทย จีน เวียตนาม เวีนตกง เป็นต้น
- แต่ ปัจจัยภายนอกเช่นกันที่จะทำให้สงครามในกัมพูชายุติลงได้ เพราะพี่เบิ้มใหญ่ของแต่ละฝ่ายที่หนุนหลังอยู่ เพียงแค่ทั้งหมดหยุดสงครามในกัมพูชาก็หยุดเช่นกัน
- ผู้ที่มีบทบาทเป็นอย่างมากในการยุติการฆ่าล้างในกัมพูชาลงได้โลกจะปฏิเสธเขาเสียไม่ได้เลย
- นาย กาเรธ อีแวนส์ ( Gareth Evans ) รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเรีย และอีกท่านคือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่เข้ารับตำแหน่งในปี ค.ศ. 1988 ผู้มีแนวคิดเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า
พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ
- แล้วบทบาทของอาเซียนก็โดดเด่นขึ้น นาย อาลี อาลาตัส รัฐมนตรีต่างประเทศของอินโดนีเซีย ได้จัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางขึ้นที่กรุงจาการ์ตาระหว่างกลุ่มผู้นำต่างๆ ในกัมพูชาที่เป็นปฏิปักษ์กัน
- และเมื่อวันที่ 23ตุลาคม 1991 สงครามในกัมพูชาได้ยุติลงอย่างเป็นทางการ ตามสัญญาสันติภาพปารีส
- ภาย ใต้ข้อตกลงนี้ ให้กองกำลังทุกฝ่ายในกัมพูชาต้องยุติการสู้รบ ลดกำลังรบ และปลดอาวุธ โดยให้สภาสูงสุดแห่งชาติกัมพูชา เป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุด และทำหน้าที่ประสานงานกับองค์การบริหารของฝ่ายสหประชาชาติชั่วคราว หรือ อันแทค เพื่อสถาปนาสันติภาพและจัดให้มีการเลือกตั้งในกัมพูชาต่อไป
- เมื่อ พฤษภาคม 1993 อันแทคได้จัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นในกัมพูชา โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ มีพรรคการเมืองที่ส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง 22 พรรค
อย่างไรก็ตามได้กำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนได้ 120 คน
- พรรคฟุนซินเปค ( Funcinpec) ของเจ้านโรดม รณฤทธิ์ ได้ 58 ที่นั่ง
- พรรคประชาชนกัมพูชา ของนาย ฮุนเซ็น ได้ 51 ที่นั่ง
- พรรคเสรีประชาธิปไตยแนวพุทธของนายซอนซานน์ ได้ 10 ที่นั่ง
- พรรคโมลินาคา ของนาย พรม นาคราช ได้ 1 ที่นั่ง
งานแรกของสภาชุดนี้คือ
- การร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งแล้วเสร็จและประกาศใช้เมื่อ 21 กันยายน 1993
แต่เพื่อลดความขัดแย้งจึงได้กำหนดบทเฉพาะกาลขึ้น ให้รัฐบาลชุดแรกภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีนายกรัฐมนตรี 2 คน
เจ้ารณฤทธิ์
- โดยให้เจ้ารณฤทธิ์ เป็นนายกฯคนที่ 1
- นายฮุนเซ็นเป็นนายกฯคนที่ 2
- พิเศษ ไปกว่านั้นอีกคือกระทรวงสำคัญ 2 กระทรวงคือมหาดไทย และกลาโหม ให้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงละ 2 คน จากพรรค ฟุนซินเปค และพรรคประชาชนคุมบังเหียนด้วยกัน จึงเป็นประชาธิปไตยแบบกัมพูชาโดยแท้
ถึง มีรัฐบาลใหม่มาจากการเลือกตั้งแล้วการเมืองในกัมพูชาก็หาได้สงบลงไม่ ยังมีความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง จาก 2 พรรค และ 2 นายกฯ แย่งอำนาจการปกครองกันเอง และมีตัวแปรที่สำคัญคือ กลุ่มเขมรแดง
ฮุนเซน
- เมื่อวันที่ 5-6 กรกฎาคม 1997 นายฮุนเซ็น นายกฯคนที่ 2 ได้ยึดอำนาจนายกฯคนที่หนึ่งคือเจ้ารณฤทธิ์ โดยอ้างเหตุผลว่า เจ้ารณฤทธิ์ สะสมกำลังอาวุธอย่างผิดกฎหมายเพื่อยึดอำนาจปกครองและสมคบกับกลุ่มนอกกฎหมาย เขมรแดง
- การ สู้รบทางทหารกลับเข้าสู่แผ่นดินกัมพูชาอีกครั้ง นำไปสู่การยื่นมาเข้ามาจากต่่างชาติเช่นกลุมประเทศอาเซียน ญี่ปุ่น อเมริการวมไปถึงสหประชาชาติ ได้กดดันบีบบังคับผ่านระบบเศรษฐกิจและการเมืองให้ยุติความขัดแย้งนี้เสีย
ในที่สุดก็นำมาสู่การเลือกตั้งครั้งที่ 2 ขึ้นในกัมพูชา
ครั้งนี้มี ส.ส.122 ที่นั่ง
- มีพรรคการเมืองเข้าร่วมสนามครั้งนี้ 32 พรรค
- พรรคประชาชนของนายฮุนเซ็น ได้ 64 ที่นั่ง
- พรรคฟุนซินเปคของเจ้ารณฤทธิ์ ได้ 43 ที่นั่ง
- พรรคสามเรนสี ( Sam Rainsy ) ของอดีตรัฐมนตรีว่าคลังนาย สาม เรนสีได้ 15 ที่นั่ง
กัมพูชา ต้องการลบภาพความขัดแย้ง ต่างฝ่ายได้ตกลงกันให้มัการแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นในปี 1999 มีการเพิ่มวุฒิสภาเข้ามาในรัฐธรรมนูญอีกสภา จากเดิมมีเพียง สภาผู้แทนสภาเดียว วุฒิสภานี้ให้มี 61 คน
- จากพรรคประชาชน 31 คน
- พรรคฟุนซินเปค 21 คน
- พรรคสามเรนสี 7 คน
- อีก 2 คน แต่งตั้งโดยกษัตริย์
- รัฐบาลใหม่มี นายฮุนเซ็น เป็นนายกฯ
- เจ้ารณฤทธิ์ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร
- นายเจีย ซิม จากพรรคประชาชนกัมพูชา เป็น ประธานวุฒิสภา โดยมีเจ้า นโรดมสีหนุเป็น กษัตริย์
กองกระโหลกจากสงครามความขัดแย้งทางการเมือง
นายพล ลอน นอล ผู้นำฝ่ายขวาจัด
นายเขียวสัมพัน
- การ เมืองของกัมพูชาปัจจุบัน แม้จะดูมีเสถียรภาพแต่ความเป็นจริงมีเพียงชาวกัมพูชาเท่านั้นที่รู้ว่าแท้ จริงแล้วมีเสถียรภาพเพราะสภาพการเมืองโดยธรรมชาติ หรือมีเสถียรภาพเพราะอำนาจเบ็ดเสร็จกันแน่
กังวาล ทองเนตร รัฐศาสตร์เอกการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555
การอ่านค่ารีซิสเตอร์ ( Resistors )
- รีซิสเตอร์ ( Resistors ) หรือตัวต้านทาน เรียกย่อว่า R (อาร์)
- รีซิสเตอร์ เป็นอุปกรณ์ อิเลคโทรนิคส์ ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งที่อยู่ในวงจร อิเลคโทรนิคส์ทั่วไป
- รีซิสเตอร์ แต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันออกไปทั้งรูปร่างและหน้าตา
- แต่ คุณสมบัติ หรือหน้าที่ของ อาร์ มีเหมือนกันคือ ทำหน้าที่เป็นตัวต้านทานแรงดันทางไฟฟ้า หรือศัพท์ทางเทคนิคเราเรียกว่า ดรอพโวลท์เตจ ( Drop Voltage ) ให้ต่ำลง โดยใช้ อารื ต่อเข้ากับวงจร เช่น ถ้าต่อแบบอันดับ รีซิสเตอร์ที่มีค่ามาก จะยอมให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าไหลผ่านได้น้อย เรียกว่า ดรอพมาก ในทางกลับกันถ้า รีซิสเตอร์ที่มีค่าน้อยจะยอมให้แรงเคลื่อนไฟฟ้าไหลผ่านได้มาก เรียก ว่า ดรอพน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกระแสไฟที่ไหลในวงจร และคุณสมบัติในการออกแบบในวงจรว่าตรงจุดนั้นวิศวกรต้องการให้มีการไหลของแรง เคลื่อนไฟฟ้าเท่าใด
- รีซิสเตอร์แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทคือ
1.รีซิสเตอร์ค่าคงที่ (Fixed Resistors) เป็นชนิดที่มีค่าความต้านทานคงที่แน่นอนส่วนใหญ่อยู่ในแผงวงจร
2.รี
ซิสเตอร์แบบเลือกค่าได้ หรือ แทป รีซิสเตอร์ ( Tapped Resistor )
จะมีแทปออกมาหลายขั้วใช้เลื่อนขึ้นเลื่อนลง บางคนนิยมเรียกว่า อาร์ สไลด์
ที่เห็นชัดคือ ที่ปรับเสียงสูงต่ำในวงจรอีควอไลเซอร์
3.
รีซิสเตอร์แบบปรับค่าได้ หรือวาริเอเบิ้ลรีซิสเตอร์ ( Variable Resistor )
เรียกย่อว่า วีอาร์ VR ใช้ในวงจรปรับลดเสียงหรือคนทั่วไปมักเรียกว่า
วอลลุ่ม ในวงจรเครื่องเสียงทั่วไปนี่เอง
4.รี
ซิสเตอร์ชนิดพิเศษ ( Special Resistor )
ถูกออกแบบมาให้มีความไวต่อความร้อนมี 2 ชนิดคือ แอลดีอาร์ และเทอร์มิสเตอร์
ใช้ในวงจรเซ็นเซอร์
แผงวงจรอิเลคทรอนิคส์ จะเห็นว่ามีรีซิสเตอร์ที่มีแถบสีแบบ 5 สี
- รี ซิสเตอร์แบบค่าคงที่ จะมีทั้งแบบ 4 สี และ 5 สี แบบ 5 สีจะมีคุณภาพดีกว่า เราจะสังเกตุเห็นว่าทั้ง 4 สี จะแต้มไว้ใกล้กัน นั่นคือค่าของรีซิสเตอร์ตัวนี้ ส่วนสี ขวามือสุด เป็นสีแสดงค่าความผิดพลาดของ อาร์ตัวนี้ ในรูปคือสี น้ำตาล หมายถึงค่าความผิดพลาด 1 % เราจะอ่านค่าสีจากซ้ายไปขวาด้านที่สีชิดกัน
- รีซิสเตอร์แบบ 4 สี ตัวบนสุด สีแรกคือ น้ำตาล หมายถึง 1 สีที่2คือน้ำเงิน หมายถึงเลข 6 สีที่3 คือแดงคือ เลข 0สองตัวคือ 00
ตารางการอ่านค่าสีรีซิสเตอร์ทั้งแบบ 4 สี 5 สี และ 6 สี มีดังรูปด้านบนนี้
รีซิสเตอร์แบบไวว์วาวด์
การต่อรีซิสเตอร์มีอยู่ 2 แบบคือ
1 แบบอนุกรมหรืออันดับ
2.แบบขนาน
รีซิสเตอร์ไม่มีขั้ว บวกลบ เวลาต่อใช้งานดูจากค่าของรีซิสเตอร์และขนาดทนวัตต์เท่าเดิมและเป็นประเภทเดิมไม่ควรดัดแปลงค่า
- อาการเสียของรีซิสเตอร์มีดังนี้
1.ยืด
ค่าหรือเพิ่มค่า ( คือค่าของรีซิสเตอร์จะเพิ่มขึ้นจากเดิม เช่นค่าสีอยู่ที่
100 โอห์ม อาจเพิ่มเป้น 200 โอห์มหรือสูงขึ้นถึง 1 เคโอห์ม )
2 ขาด เกิดจากการที่รองรับการไหลของกรแสไม่ไหวจะทำให้เส้นลวดภายในโครงสร้างขาด ทำให้มีผลต่อวงจรโดยรวม
( รีซิสเตอร์ไม่มีอาการชอร์ทเด็ดขาด แม้บางครั้งตัวมันจะไหม้ ก็จะเสีย 2 อย่างนี้เท่านั้น
- แรงดันทางไฟฟ้า มีหน่วย เป็น โวลท์
- ความต้านทานไฟฟ้า มีหน่วยเป็น โอห์ม
- กระแสไฟฟ้ามีหน่วยเป็น แอมป์แปร์
- พลังงานไฟฟ้า มีหน่วยเป็น วัตต์
กังวาล ทองเนตร แสงทองอิเลคทรอนิส์แสงทองโทรทัศน์ , เทคนิคเทพนิมิตรหรือเทคนิคไทยญี่ปุ่น
ภาพตุ๊กตาแม่ลูกดก
ตุ๊กตาแม่ลูกดกของฝากขึ้นชื่อจากรัสเซีย
แม่ลูกดก แม่นี้มี5ตัว
แม่ลูกดก ชุดใหญ่ นับเองครับ
แม่ลูกดกรัสเซีย 5ตัว
แม่ลูกดกญี่ปุ่น
ภาพต้นงิ้ว
ดอกงิ้วจะมีทั้ง พันธุ์ที่ดอกมีสีแดง และสีเหลือง
ก็ดอกเธอสวยอย่างนี้ คนในโลกนี้จึงยอมปีนต้นงิ้วกัน (มันคุ้ม )
ดอกงิ้วมีรสหวานมีสรรพคุณทางยา เมื่อนำไปตากแห้งนำไปต้มผสมกับสมุนไพรตัวอื่นเป็นยาแก้ร้อนใน
ส่วนที่เป็นก้าเกสรดอกนำมาทำเป็นยา และเครื่องเทศประกอบอาหารได้ด้วย
ดอกงิ้วสีเหลืองก็สวยงามครับรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนสีแดงทุกอย่าง ผิดกันตรงสีเท่านั้น บางคนบอกงิ้ว พันธมิตรกับงิ้ว นปช.หรือเปล่าเนี่ย
หนามงิ้วที่แหลมคม
ต้นงิ้ว ดอกเหลือง
ความเชื่อว่าผู้ที่ผิดศีลข้อกาเม ตายไปจะตกนรกและถูกลงโทษให้ปีนต้นงิ้ว
แก่นไม้นางพญางิ้วดำ
ต้นนางพญางิ้วดำ
ถึงชั่่วก็รัก สายัณห์ สัญญา ขับร้อง ก้อง ตัดต่อ
ถึงชั่่วก็รัก สายัณห์ สัญญา ขับร้อง ก้อง ตัดต่อ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)