ตันกุน ( Tan-gun )
เกาหลียุคโบราณ
ประวัติศาสตร์ เกาหลี ดั้งเดิม เริ่มในยุคมนุษย์ยุค พาลิโอลีธิค ( Paleolithic ) ประมาณ 6 แสนปีมาแล้ว โดยมีการขุดพบเครื่องมือที่ทำด้วยหินและกระดูกผู้คนยุคนั้นดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ หาปลา อาศัยอยู่ในป่า ภูเขา และถ้ำ
- ต่อมาพวกอัลเตอิค ( Altaic ) ได้อพยพมาจากทางตอนเหนือของทวีปเอเชีย เข้ามาตั้งถิ่นฐานบนคาบสมุทรเกาหลี เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว
- ยุคบรอนซ์ ( Bronze Age ) ได้มีการผสมผสานกับชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของคาบสมุทรเกาหลี รวมเข้ากัน เรียกว่าชนเผ่า ตังกัส ( Tangus ) จึงถือเอาว่าชนเผ่ากลุ่มนี้เป็นบรรพบุรุษของชาวเกาหลียุคปัจจุบัน
ซาวด์จูมง
โคกูริยอ
การก่อเกิดชาติเกาหลี
มีตำนานเล่าถึง ตันกุน ( Tan-gun ) ผู้เป็นรับบุรุษ กึ่งเทพเจ้า ได้เป็นปฐมกษัตริย์ และได้รวบรวมแคว้นต่างๆ ในคาบสมุทรเกาหลี เข้าด้วยกัน และก่อตั้งเป็นชาติ เกาหลีขึ้นมาเมื่อ 2,333 ปี ก่อน ค.ศ. และได้กำหนดเอาวันที่ 3 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันกำเนิดชาติ ( National Foundation Day )
การเมืองการปกครองเกาหลี
เริ่มขึ้นในยุคสามอาณาจักร ได้แก่
- โคกูริว ( Koguryo Kingdom )
- เพ็กเจ ( Packshe Kingdom )
- ซิลลา ( Shilla Kingdom )
- โคกูริว ( Koguryo Kingdom ) ปีที่ 37 ก่อน ค.ศ. -ค.ศ.668 อาณาจักรนี้มีอิทธิพลมากที่สุดในบรรดา 3 อาณา และครอบครองดินแดน 2 ใน 3 ของประเทศทั้งหมด และส่วนใหญ่จากแมนจูเรีย
- เพ็กเจ ( Packshe Kingdom ) กำเนิดขึ้นในปีที่ 18 ก่อน ค.ศ.-ค.ศ 660 ตั้งอยู่บริเวณที่เป็นกรุงโซลปัจจุบัน ต่อมาได้อพยพลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรเกาหลี อาณาจักรนี้มีความรู้เรื่องเหล็ก และเทคนิคการทำไหม และได้นำสิ่งเหล่านี้และศาสนาพุทธเข้าไปยังญี่ปุ่น
- ซิลลา ( Shilla Kingdom ) กำเนิดขึ้นเมื่อ ปีที่ 57 ก่อน ค.ศ.- ค.ศ. 935 อาณาจักรนี้ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทร อาณาจักรนี้มีความเข้มแข็งยิ่งใหญ่ สามารถเอาชนะ อาณาจักรโคกูริวและ เพ็กเจ ได้ ใน ค.ศ.676
- ในช่วงที่รวมอาณาจักรทั้งสามเข้าด้วยกัน ศาสนาพุทธก็ได้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในดินแดนแห่งนี้ นับว่าเป็นยุคทองของศาสนาพุทธ มีศิลปะ สถาปัตยกรรม ปฏิมากรรมที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น การแกะสลักพระพุทธรูปหินแกรนิต ที่วัดในเมือง คยองจู ( K yongju ) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรซิลลา
- เกาหลีในยุคอาณาจักรซิลลา ได้รับอิทธิพลความเจริญมาจากจีน ซึ่งเป็นยุค ราชวังค์ถัง
จนอาณาจักรซิลลา ถูกเรียกว่า ถังน้อย ( Little Tang )
ต่อมาเมื่อกษัตริย์อ่อนแอ ก็ได้เกิดกบฏขึ้นหลายครั้งใน ซิลลา และอาณาจักร ซิลลา ก็ได้เสื่อมลงในศตวรรษที่ 9
เกาหลียุคกลาง
- อาณาจักรได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งภายใต้การนำของ วังคอง ( Wang Kong ) ได้ก่อตั้งราชวงค์ โคริโย ขึ้นมา เมื่อ ค.ศ.918 -1392 มีเมืองหลวงชื่อ เคซอง ( Kaesong )
- สมัยนี้เป็นยุคที่ศาสนาพุทธรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก พระภิกษุในสมัยนี้ ถูกยกย่องให้เทียบเท่ากับขุนนาง และได้มีพระไตรปิฎกฉบับภาษาเกาหลีขึ้น ( Tripitaka Kareana ) ถือว่าเป็นพระไตรปิฎกที่เป็นฉบับตัวเขียนที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก
- เป็นยุคที่ศิลปะ วัฒนธรรมต่างๆเฟื่องฟู เป็นอย่างมาก เช่นเครื่องเคลือบดินเผาสีฟ้า ถ้วยชามหม้อ ไห มีการแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตรงดงาม เป็นสินค้าที่ชาวต่างชาติสนใจ และมีการทำแท่นพิมพ์โลหะเคลื่อนที่ได้ ก่อน กูเตนเบอร์ก ถึง 200 ปี
Tripitaka Kareana
ตอนปลายสมัยอาณาจักรโคริโย ขุนนางชั้นผู้ใหญ่มีการแบ่งกันออกเป็น 2 กลุ่มขั้วอำนาจคือ
- กลุ่มนิยมราชวงค์หมิง ( จีน )
- กลุ่มนิยมราชวงค์มองโกล
เมื่อ ค.ศ.1231 ราชวงค์หยวน ของมองโกล ที่ปกครองจีนอยู่ในขณะนั้น ได้กรีฑาทัพ เข้ายึดครอง โคริโย และสำเร็จได้ ในปี ค.ศ. 1258
- และเมื่อ ค.ศ.1392 นายพล ยิ ซองเกีย ( Yi Song gye ) ได้ก่อรัฐประหารขึ้น และยึดอำนาจคืนจากราชวงค์หยวนของมองโกลจากจีน ได้สำเร็จ และได้สถาปนาราชวงค์ ยิ ( Yi Dynasty )
- และเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักร โชซอน ( Chosan Kingdom ) ค.ศ. 1392-1910 รวมเวลา 518 ปี
เป็นช่วงแห่งการสั่งสมวัฒนธรรมเกาหลี มีเมือง อันยาง ( An-Yang ) ( กรุงโซล ปัจจุบัน ) เป็นเมืองหลวง และมีการสร้างพระราชวัง และประตูเมืองที่ใหญ่โต สวยงาม
ในสมัยกษัตริย์ เชจอง ( Sejong ) ค.ศ. 1418-1450 มีการปฏิรูปการปกครองใหม่
- มีการจัดตั้ง กระทรวง ทบวง กรม ได้แก่
- สำนักนายกรัฐมนตรี
- สำนักราชเลขาธิการ
- หน่วยงานเทียบเท่ากรมอีก 6 หน่วยงาน
- และมีการจำลองการปกครองส่วนภูมิภาคมาจากจีน
- มีการรับราชการโดยการสอบไล่
- และรับอิทธิพลของลัทธิ ขงจื๊อ เข้ามา จนเรียกสมัยนี้ว่า จีน จำลอง ( China Replica )
- มีการประดิษฐ์อักษร เกาหลีขึ้นในปี ค.ศ. 1443 เรียกอักษรเกาหลีนี้ว่า อักษร ฮันกูล ( Han-Gul )
ตันกุน ( Tan-gun )
ความแตกแยกจากการถูกแทรกแซงจากต่างชาติ
- ช่วงศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา เกาหลีเกิดการขัดแย้ง แตกแยกอย่างหนักทั้งในส่วนกลาง และ ส่วนภูมิภาค
ขัดแย้งระหว่างตระกูล ความเกลียดชังเป็นปฏิปักษ์ส่วนตัว ขัดแย้งในทางความคิดและนโยบายทำให้เกาหลียุคนี้ อ่อนแอถึงขีดสุด เหมือนบ้านไร้เสาหลัก
- ในที่สุดเกาหลีก็ถูกญี่ปุ่นฉวยโอกาส เข้ารุกราน ในขณะที่ราชวงค์หมิงของจีน ก็ได้กางปีกช่วยปกป้องเกาหลี จากญี่ปุ่น ใน ค.ศ.1592 และ 1598 ที่เกาหลีได้รับความช่วยเหลือจากจีน
- มีผลให้ เกาหลีในยุคนี้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของจีน โดยความสัมพันธ์ ระหว่างเกาหลีกับจีนในยุคนี้
- เกาหลีเป็นเพียงเมืองขึ้น หรือ ประเทศราชของจีนเท่านั้น มีการจัดส่งส่วย หรือเครื่องราชบรรณาการให้แก่จีน ทำให้จีนพอใจในสภาพความสัมพันธ์เช่นนี้ เพราะราชวงค์ ยิ อยู่ใต้ปกครองตลอดไป
- จากสภาพการ เช่นนี้สังคมเกาหลี ถูกจำกัดอยู่แต่เพียง จีน และญี่ปุ่นเท่านั้น ทำให้ขาดการติดต่อจากประเทศชาติตะวันตกอื่น ส่งผลให้ความรู้ วิทยาการสมัยใหม่ ถูกปิดกั้นลงไปด้วย
- การเมืองการปกครองเกาหลียุคนี้จึงเป็นยุคที่ ตกต่ำ ล้าหลังจนถึงที่สุด สังคมเสื่อมโทรม ประชาชนเป็นอยู่อย่างยากลำบาก
เกาหลียุคใหม่
- ประมาณ ค.ศ.1876 หรือ ศตวรรษที่ 19 เกาหลีได้เปิดประเทศ และติดต่อกับต่างชาติ เนื่องจากที่ตั้งบนคาบสมุทรเกาหลีได้เปรียบทางทำเล เปรียบเหมือนสะพานเชื่อม เกาหลี และจีน แมนจูเรีย และรัสเซีย
- ตลอดจนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการรบ ทำให้หลายๆครั้งคาบสมุทรเกาหลี ถูกดึงเข้าร่วมกับสงครามโดยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่น
- สงครามจีน กับ ญี่ปุ่น เมื่อ ค.ศ.1894-1895 คาบสมุทรเกาหลีก็ถูกใช้เป็นสมรภูมิรบ
- สงคราม ญี่ปุ่น กับ รัสเซีย ค.ศ.1904-1905 คาบสมุทรแห่งนี้ก็กลายเป็นสมรภูมิรบไปด้วย
- จากสภาพการดังกล่าวทำให้เกาหลีพยายามจะสลัดตัวเองให้หลุดพ้นจากสภาวะสงคราม โดยการใช้นโยบายแยกตัวเองออกมาอย่างโดดเดี่ยวและยึดมั่นในสันติภาพ จนถูกขนานนามว่า รัฐ ฤาษี ( The Hermit State ) ถึงอย่างนั้นก็ตามเกาหลีก็เหมือนมีกรรม ไม่สามารถหลีกหนีหรือหลุดพ้นสงครามได้ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น
- ญี่ปุ่นมองเกาหลีว่า มีความสำคัญเป็นอย่างมากทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ การสงคราม นับว่าเป็นผลกระทบโดยตรงต่อผลประโยชน์ของญี่ปุ่น จากการจะใช้เกาหลีเป็นทางผ่านเพื่อติดต่อกับเอเซียส่วนอื่นๆ
- ญี่ปุ่นมีแนวนโยบายที่จะเข้ายึดครองเกาหลีอยู่เป็นทุนเดิมแล้วและในที่สุด
- เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ.1910 ญี่ปุ่นก็ได้ยกทัพเข้ายึดครองเกาหลีได้เบ็ดเสร็จ และบีบบังคับให้เกาหลี ยอมลงนามเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่น และเกาหลีได้ตกอยู่ใต้อำนาจของญี่ปุ่นนานถึง 35 ปี เป็นช่วงเวลาที่ชาวเกาหลีเจ็บปวด ขมขื่น และเกลียดชังญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก
- ในขณะที่ญี่ปุ่นได้ตักตวงกอบโกยเอาผลประโยชน์มากมายมหาศาลไปจากแผ่นดินเกาหลีและชาวเกาหลี ทั้งทรัพยากรและแรงงาน
- นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังได้บังคับชาวเกาหลีให้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาราชการอีกด้วย
- รวมถึงบีบบังคับธรรมเนียมการตั้งชื่อโดยให้เปลี่ยนชื่อไปเป็นแบบญี่ปุ่น
- และให้ชาวเกาหลีหันไปนับถือศาสนาชินโต
- จัดตั้งหน่วยสืบราชการลับเพื่อสอดส่องจับกุมผู้ขัดขืน
- ย้ายโรงงานอุตสาหกรรมของเกาหลีไปไว้ภาคเหนือ
- ให้ภาคใต้เป็นแหล่งเกษตรกรรม เพื่อใช้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำให้กับชาวญี่ปุ่น
- โอนกิจการธนาคาร การคมนาคม ระบบขนส่ง ระบบสหกรณ์ ไปอยู่ในควบคุมของญี่ปุ่น คือบริษัท บูรพาแห่งญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นตั้งขึ้นเพื่อดูแลผลประโยชน์ตนเอง และนำผลประโยชน์รายได้ส่งกลับไปญี่ปุ่น
- ความเกลียดชังญี่ปุ่นถูกซึมเข้าไปในสายเลือดของชาวเกาหลี ความเจ็บปวดและขมขื่นจากการถูกกระทำถูกกดขี่ ได้ก่อเกิดให้ชาวเกาหลีที่แตกเป็นก๊กเหล่า ได้หันมาหลอมรวมเข้าด้วยกัน และกลายเป็นพลังมหาศาลที่จะรวมกันต่อต้านและขับไล่ญี่ปุ่น
- เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1919 ได้จัดตั้งขบวนการกู้ชาติขึ้น ( The Independence Movement )
- ขบวนการดังกล่าวได้ซุ่มโจมตี เข้าทำลายทรัพย์สิน และชีวิตทหารญี่ปุ่นโดยทั่วไป
- แต่ก็ถูกผู้ปกครองชาวญี่ปุ่นออกคำสั่งกวาดล้างขบวนการกู้ชาติอย่างหนักหน่วง
- ส่งผลให้ชาวเกาหลีนับแสน ได้อพยพหนีตายเข้าไปหลบภัยอยู่ที่ กันโก ( Kun-Go) ซึ่งอยู่ทางเหนือติดกับชายแดนจีนและรัสเซีย
- ส่วนปัญญาชนและผู้มีฐานะได้ทิ้งประเทศอพยพไปตั้งถิ่นฐานที่เกาะฮาวายประเทศสหรัฐอเมริกา
- บางกลุ่มก็หนีไปอยู่ที่เซี่ยงไฮ้และเมืองใหญ่ๆของจีน และพวกเหล่านี้ได้ลักลอบส่งเงิน และระดมอาวุธ ให้ความช่วยเหลือให้ชาวเกาหลีที่อยู่ในประเทศใช้ต่อสู้กับญี่ปุ่น
ขบวนการกู้ชาติเกาหลีแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ( จับประเด็นนี้ไว้ให้ดีครับ )
ผู้นำกลุ่มเสรีนิยม
- กลุ่มชาตินิยมและเสรีนิยม
- กลุ่มคอมมิวนิสต์
- ทั้งสองกลุ่มนี้ตามสภาพเดิมมีความแตกต่างกันทางความคิดทางการเมืองแบบสุดขั้ว
- แต่เมื่อเวลานี้ ทั้งสองกลุ่มเห็นตรงกันคือ กำจัดญี่ปุ่นให้พ้นจากเกาหลี จึงหันหน้าเข้ามารวมกัน ยอมทิ้งอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างกลุ่มไว้ชั่วคราว
- ทั้งสองกลุ่มได้ร่วมมือกันเข้าโจมตีญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง และประจวบกับเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น และเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงคราม
- ชาวเกาหลีทั้งหมดจึงได้สัมผัสกับเอกราชใหม่ อีกครั้ง ในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ.1945 และชาวเกาหลีถือว่าวันนี้เป็นวันแห่งอิสระภาพ ( Liberation Day ) และประกาศให้เป็นวันหยุดราชการสืบมาจนปัจจุบัน
- เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง อิสรภาพที่ชาวเกาหลีเพิ่งได้สัมผัสยังไม่ทันอุ่นมือ
- ประเทศเกาหลีถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ตรงบริเวณเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ เป็นเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ โดยให้ถือ เส้นขนานที่ 38 เป็นเส้นเขตแดน เป็นเขตปลอดทหาร
- ฝ่ายเหนือ มีเงายักษ์ใหญ่อย่างจีนยืนทะมึน อยู่ข้างหลัง
- ฝ่ายใต้ก็มีเงามหาอำนาจอย่างอเมริกา ยืนทับเงาอยู่ข้างหลังเช่นกัน
นายซิงมัน รี หรือ อี ซึงมัน (ประธานาธิบดีคนแรกเกาหลีใต้ )
ผู้นำกลุ่มขบวนการกู้ชาติสายเสรีนิยม
นางบั๊ก กึนเฮย์ นายกเกาหลีใต้คนปัจจุบัน ( พ.ศ.2556 )
ธงชาติเกาหลีใต้ (ธงชาติเกาหลีเรียกว่า แทกึกกี )
- ฝ่ายใต้เรียกชื่อประเทศตัวเองว่า สาธารณะรัฐเกาหลี ( The Republic of Korea ) จัดการปกครองประเทศเป็นแบบประชาธิปไตย มี ดร.ซิงแมน รี ( Singman Ri ) ได้รับการรับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนแรก รัฐธรรมนูญฉบับแรกร่างเสร็จเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ.1948 และถือว่าวันนี้เป็นวันรัฐธรรมนูญ และประกาศให้เป็นวันหยุดราชการมาจนถึงปัจจุบัน
ผู้นำคนแรกเกาหลีเหนือ ( ผู้นำกลุ่มกู้ชาติสายคอมมิวนิสต์ )
นาย คิม จอง อิล ( ผู้นำเกาหลีเหนือรุ่นที่ 2 )
นาย คิม จองอุน ( ผู้นำรุ่นที่ 3 คนปัจจุบัน เกาหลีเหนือ )
ธงชาติเกาหลีเหนือ
- ฝ่ายเหนือ เรียกชื่อประเทศว่า สาธารณรัฐประชาชนเกาหลี ( The Democratic People's Republic of Korea ) จัดการปกครองประเทศเป็น แบบคอมมิวนิสต์ มีนายคิม อิลซุง ( Kim II Sung ) เป็นประผู้นำประเทศและจัดตั้งรัฐบาลครั้งแรกเมื่อ วันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1948
แผนที่ประเทศเกาหลี มีรูปร่างคล้ายปืนพกสั้น
โดยฝ่ายใต้เป็นด้ามปืน ฝ่ายเหนือเป็นกระบอกปืนแบ่งประเทศกันที่เส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ
- คำว่าเกาหลี ( Korea ) มาจากคำว่า โคริโย ( Koryo )
ชนชั้นเกาหลียุคโบราณแบ่งออกเป็น 4 ชนชั้นได้แก่
- ชนชั้นสูง เรียกว่า ยางบัน ( Yang ban ) ได้แก่ ขุนนาง ข้าราชการระดับสูงทั้งทหารและพลเรือน นักวิชาการ นักปราชญ์ บุตรหลานชนชั้นสูงจะได้รับยศฐาบรรดาศักดิ์ตั้งแต่เกิด
- ชนชั้นกลาง เรียกว่า ชินจิน ( Shin-Jin ) ได้แก่ข้าราชการระดับกลางและระดับล่าง มีตำแหน่งหน้าที่ทางสังคมและมีการศึกษาสูงกว่าสามัญชน
- ชนชั้นสามัญ หรือชนชั้นสาม เรียกว่า แซงมิน ( Sang Min ) ได้แก่ พ่อค้า ชาวไร่ ชาวนา ช่างฝีมือ
- ชนชั้นต่ำหรือชนชั้นที่สี่ เรียกว่า ซุนมิน ( Sun-Min ) ได้แก่พวกนักแสดง คนฆ่าสัตว์และทาส
- ชนชั้นต่ำนี้จะถูกพวกชนชั้นสูงเรียกว่า แซง-นอม ( Sang-Nom) หรือพวกไพร่ เป็นคำดูถูกเหยียดหยาม โดยในแต่ละชนชั้นจะมีการแบ่งแยก มีข้อห้าม มีที่อยู่อาศัย มีภาษาพูด เครื่องแต่งกาย และห้ามแต่งงานกับชนต่างชนชั้น ห้ามทำพิธีศพร่วมกัน ห้ามชนชั้นต่ำสวมเสื้อผ้าที่มีสีสันหลากสี
ระบบชนชั้นถูกยกเลิกไปเมื่อ ค.ศ.1894 ในช่วงสงคราม จีน กับ ญี่ปุ่น และถูกทำลายลงอีกครั้งในสงครามเกาหลีเมื่อ ค.ศ.1950 และส่งผลให้ชาวเกาหลีมีความเสมอภาคตั้งแต่นั้นมา
สงครามเกาหลี ค.ศ.1950-1953
- สงครามเกาหลีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1950 โดยทหารเกาหลีเหนือกว่า 6 หมื่นนายได้รุกล้ำเส้นขนานที่ 38 เข้ามาในเกาหลีใต้
- และสามารถยึดกรุงโซลได้ในเวลาเพียง 5 วัน อเมริกาและสหประชาชาติได้ยกพลขึ้นบกที่เกาหลีใต้อีกครั้งหนึ่งเพื่อขับไล่กองกำลังทหารเกาหลีเหนือออกไป
- และได้โจมตีดินแดนบางส่วนของจีน ทำให้พญามังกรอย่างจีนเดือดดาน จึงได้ส่งทหารเข้าร่วมรบสนับสนุนเกาหลีเหนือ ยึดดินแดนที่เสียไปคืนมาได้และได้เข้ายึดกรุงโซลกลับมาได้อีก
- แต่อเมริกาและสหประชาชาติก็สามารถยึดเกาหลีใต้กลับคืนมาได้อีกครั้งเช่นกัน และตกลงมีการเซ็นสัญญาทางทหารหยุดยิง ที่หมู่บ้านปันมุนจอม ( Panmunjom ) ในวันที่ 27 กรกฎาคม ค.ศ.1953 เป็นการยุติสงครามที่กินเวลายาวนานถึง 3 ปีลงได้
แทกึกกี1
แทกึกกี2
แทกึกกี3
แทกึกกี4
แทกึกกี5
แทกึกกี6
แทกึกกี7
แทกึกกี8
แทกึกกี9
แทกึกกี10
แทกึกกี11
กังวาล ทองเนตร รัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครองมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ขอขอบคุณข้อมูลจากผู้ช่วยศาสตร์จารย์ มยุรี เจริญ
ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
>> > ประเทศเกาหลีเหนือ
>>> เกาหลีโบราณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น