กังวาล ทองเนตร

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่คลังปัญญา Pohthaiblogspot.com

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2564

กระดานทิกเกอร์ไม่ได้มีแต่หุ้นสามัญอย่างเดียว

 


ที่เห็นบนกระดานหุ้นตามรูปที่ผมนำมาให้ดูนี่ มันคืออนุพันธุ์ทั้งสิ้น บอกแล้วว่าอนุพันธุ์ จะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ แยกย่อย ซอยถี่ออกมายิบย่อยหลายชนิด

ในรูปนี้เป็นกลุ่ม DW  ที่อ้างอิงดัชนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้น หั่งเส็ง ตลาด ดาวโจนส์ S&P เวียตนาม และแนสแด็ก เป็นต้น 

  • DW ก็เหมือนอนุพันธุ์ตัวอื่นๆที่ไม่มีมูลค่าโดยตัวมันเอง มันจะมีราคาตามตัวผลิตภัณฑ์ที่มันเกาะอยู่ แต่มันจะอ้างอิงดัชนีปริมาณการซื้อขายเท่านั้น ไม่สนมูลค่าการตลาด
  • กลุ่มDW  ผู้ออกผลิตภัณฑ์นี้คือ โบรกเกอร์ คุณว่าโบรกเกอร์มันคือใคร มันคือพอร์ทลงทุนแข่งกับเราพอร์ทหนึ่งในตลาด ดังนั้นก่อนมันจะออก ผลิตภัณฑ์ใด มันทำวิจัย ทิศทางมาเป็นอย่างดีแล้วว่ามันไม่แพ้เราแน่ มันจึงออกมาขายให้เรา
  • ส่วนกลุ่ม TFEX จะออกโดยตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอนุพันธุ์แต่ละกลุ่มจะมีความเสี่ยงสูงมาก เช่นเดียวกับโอกาสก็สูงมากเช่นกัน 50/50 ถูกก็เปลี่ยนเป็น 100 พลาดก็กลายเป็น 0 เป็น 0 จริงๆผมยืนยัน จะไม่เหมือนหุ้น อย่างน้อยก็เหลือใบหุ้นติดมือไว้ แต่อนุพันธุ์พลาดคือหมดตัวเลย

แต่ละกลุ่มแต่ละชนิดนอกจากเงื่อนไขไม่เหมือนกันแล้ว การเทรดก็ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อสิ ทั้งหมดนี้ ขึ้นกระดานทิกเกอร์กองรวมที่เดียวกัน คลิกซื้อมั่วๆสั่วๆฉิบหายได้


ดัชนีของตลาดหุ้นบอกอะไรได้บ้าง

  


  • SET INDEX มันคือเป้าเล็งในการที่เราจะตัดสินใจเทรดแต่ละครั้งเท่านั้น ไม่ใช่สาระหลัก แต่เราต้อง นำมันมาพิจารณาร่วมด้วย ก่อนการออกคำสั่ง แม้ไม่ใช่สารหลัก แต่มันคือจุดอ้างอิง มันบอกแนวโน้มได้ เพียงแต่ ข้อมูลเราต้องดีมากพอ เพราะการเล็งเป้าที่ set index เพียงอย่างเดียวจะโดนขาใหญ่แหกตาได้


  • บางทีทิศทางตลาดกำลังเป็นขาขึ้น แต่ถูกขาให้สร้างมายาภาพให้น่ากลัว เทหุ้นออกมา เพื่อบีบรายย่อย มอบตัวคืนของให้มัน
  • บางทีเป็นเทรนด์ขาลง ก็รายใหญ่อีกเช่นกัน กระชากตลาดขึ้น จนเม่าเชื่อแล้ววิ่งตาม


ทำไมขาใหญ่จึงกำหนดทิศทางตลาดได้ขนาดนั้น

ก็เพราะทุนในมือที่เขามีมหาศาล เทใส่หุ้นกลุ่มไหนกลุ่มนั้นก็ขึ้น ทิ้งกลุ่มไหนกลุ่มนั้นก็ร่วง และมันจึงส่งผลต่อ ดัชนีของตลาด ที่จะบวก หรือ ลบ โดยตรง

ผมจึงพูดอยู่เสมอว่า ในตลาดหุ้นมันมีมากกว่าหุ้น ในกระดาน ticker มันคือภาพมายา ใน bid -offer มันล้วนหลอกทั้งสิ้น

นี่ไม่ต้องพูดถึงพวกเทรดหุ้นโดยใช้กราฟ สัญญาณเทคนิค บ้าบอ หลอกคนยังหลอกได้ กะอีแค่หลอกกราฟมันจะยากอะไร ใครดูกราฟ นับเวฟ จ้องวอลุ่ม มึงเจ๊งทุกราย ก็เพราะขาใหญ่มันรู้ว่า แมงเม่าหลายล้านคน นั่งเฝ้า นั่งจ้องตรงนี้ทั้งนั้น

มันจะเอาหุ้น จะเอาเงินจากเม่า มันก็ทำให้เม่าเห็น ให้เข้าเบ้าตาแมงเม่าเต็มๆ และก็ได้ผลทุกครั้ง

ถ้าเราเข้าใจปรัชญาการลงทุน เข้าใจว่าหุ้นคืออะไร ผลิตภัณฑ์ทางการเงินแต่ละประเภทมีอะไรบ้าง มีเงื่อนไขการเทรดอย่างไร กลไกตลาดมีอะไรบ้าง ข้อกำหนดต่างๆ มาตรการควบคุมการซื้อขาย เครื่องหมายหรือป้ายสัญญาณเตือนต่างๆที่ กลต.ยกชูขึ้นมาแต่ละป้ายคืออะไร ถ้าเราถอดรหัสสัญญาณนั้นไม่ได้ ก็จอด

ผมพูดเสมอว่าเราซื้อหุ้น ไม่ได้ซื้อตลาด ดังนั้น น้ำหนักการตัดสินใจจึงเอียงข้างไปที่ข้อมูลของหุ้น ไม่ใช่ข้อมูลตลาด แต่ตลาด หรือ ดัชนี มีไว้เล็งและก่อนยิงดูให้ดีว่า เป้าจริงเป้าหลอก

ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ จึงเป็นของจริง เราต้องรวบรวม ดาต้า หรือข้อมูลดิบ มาคัดแยก แบ่งกองแบ่งกลุ่ม ให้เป็น สารสนเทศ ให้ได้ก่อน จากนั้น นำสารสนเทศที่ได้ มาสังเคาะห์ให้เป็นความรู้ แล้วจึงนำความรู้ไปใช้ในการตัดสินใจ ซื้อ หรือ ขาย

การเทรดหุ้นแต่ละคำสั่ง มิได้ใช้เงินหลักร้อยบาท แต่เป็นเงินหลายหมื่น หลายแสน หลายล้าน หลายสิบล้าน ในการ ซื้อ จึงต้องคิดวิเคราะห์ให้ครบทุกมิติ เสียก่อน อย่าให้ อีโลภ อีหลง ถือธงนำ ไม่เช่นนั้น ตลาดหุ้นก็คือ หลุมฝังศพ


การทำคิวอี QE มีผลต่อตลาดหุ้นอย่างไร

 


สำหรับนักลงทุน ไม่ว่าตลาดไหน จะตราสารหนี้ ตราสารทุน ก็ต้องให้จับตาการประชุมของเฟดให้ดี ในวันที่ 21-22 นี้ เพราะประเด็นหลักที่เฟดจะนำเข้าที่ประชุมและกระทบต่อตลาดคือ การลด QE

  •  ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจก่อนว่า QE หรือ Quantitative Easing คืออะไร ผมจะอธิบายเป็นภาษาบ้านๆ ให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การทำ Quantitative Easing ( QE ) ก็คือ การอัดฉีดเม็ดเงิน หรือการเสริมสภาพคล่อง ด้วยการเติมเม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น การใช้เงินเข้าซื้อพันธบัตร ตราสารหนี้ต่างๆ ที่เป็นสินทรัพย์ เพื่อเสริมสภาพคล่องระบบ หรือแม้กระทั่ง พิมพ์เงิน หรือปั๊มเงินขึ้นมาเพิ่ม เพื่อการเดียวกันคือ อัดฉีดเข้าไปในระบบ รักษาสภาพคล่องระบบ ให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้

ดังนั้นจะเห็นว่าการทำ QE ไม่ได้ทำในภาวะที่เศรษฐกิจดี แต่จะทำในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เมื่อเราเข้าใจเป็นเบื้องต้นดังนี้ เราก็จะพิจารณาได้ว่า การทำ QE  กับการยกเลิก QE จะมีผลกระทบต่อ ตัวเลขทางเศรษฐกิจใดบ้าง

  • เมื่อเราพิจารณา ตั้งแต่ไบเดนเข้ามาเป็นรัฐบาล แนวโน้มเศรษฐกิจอเมริกามีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าสมัย ทรัมป์มาก

และการทำ QE รัฐบาลต้องแบกรับภาระทางการเงินสูงมาก 

  •  จึงมีระยะเวลากำหนด เป็นครั้งคราวไปเท่านั้น เมื่อรัฐบาลมองเห็นว่า ระบบเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวเองและเดินด้วยลำแข้งตัวเองได้ รัฐบาลก็จะยกเลิกมาตรการนี้เสีย
  • แนวโน้มที่เฟดจะลดการทำคิวอีลง ก็มีโอกาสเกิดขึ้นสูง ใช้คำว่า ลด ไม่ได้ใช้คำว่าเลิก คือยังคงประคองๆกันไปก่อนสักระยะรอดูอาการ
  • เมื่อแนวโน้มการลด คิวอีลง ก็หมายความว่า เงินที่เคยถูกนำไปซื้อพันธบัตรไว้จะถูกขายหรือไถ่ถอนออกมา ตลาดพันธบัตรซึ่งเป็นตลาดตราสารหนี้ มีความเสี่ยงต่ำ กว่าตลาดหุ้น ซึ่งเป็นตลาดทุน นักลงทุนที่เคยใส่ทุนไว้ในตลาดตราสารหนี้ ก็จะได้ผลตอบแทนต่ำตามไปด้วย เมื่อ มีการถอนทุนออกไป

กรณีนี้ นักลงทุนจึงจะโยกทุน ออกจากตลาดตราสารหนี้ ไปใส่ตราสารทุนแทน เพื่อให้ตนเองมีระดับผลตอบแทนในระดับเดิมเป็นอย่างน้อยหรือสูงกว่า

  • ส่วนตลาดทอง ราคาทองก็จะร่วงลงทันที ถ้าเราถือทอง ก็ต้องวัดใจว่า เฟดจะเอาไง เพราะถ้าเฟดลดคิวอี ทองร่วงกองพื้น เราอาจขายออกไม่ทัน ส่งผลพอร์ทลงทุนเราเสียหายได้ แต่ถ้าขายออกก่อน แต่ตัวเรายังติดดอยอยู่ ก็ยอมขาดทุน คุณก็ตัดสินใจเองว่าจะเอาอย่างไร
  • ส่วนตลาดหุ้น ซึ่งยืนตรงข้ามกับทอง และตราสารหนี้ทั้งหลาย เมื่อพันธบัตร กองทุนต่างๆให้ผลตอบแทนต่ำ ทุนจะถูกโยกออกมาเข้าตลาดหุ้นทั่วโลกแทน ตลาดหุ้นจะคึกคักขึ้นทันที รับ คิว 4

สรุปคือ เฟดออกทางไหนมีคนได้คนเสียแน่นอน เราจะตัดสินใจยืนตรงจุดไหนก็ชั่งน้ำหนักใจตัวเองดู สำหรับผม เก็บหุ้น ดักไซแห้งรอพายุเข้า