หัวใจนักพูด 13 ประการ ( อธิบาย )
อย่างที่บอกครับว่า การพูดได้กับการพูดเป็น มันเป็นคนละเรื่องกัน การพูดได้คือ มนุษย์ทุกคน ถ้าไม่เป็นใบ้ เมื่อถึงเวลา ก็พูดได้เองตามธรรมชาติ ตามพ่อแม่ แต่การพูดเป็น คือการพูดให้ถูกกาละเทศะ พูดให้ได้ใจคน และการที่จะทำอย่างนั้นได้ จึงจำเป็นจะต้องมีการเรียนรู้และฝึกฝน
ในเบื้องต้นจึงขออธิบาย หัวใจของนักพูดทั้ง 13 ประการ พอให้เข้าใจเพื่อเป็นแนวทางต่อไป
1. เตรียมให้พร้อม
หมายถึง ผู้พูด หรือนักพูด ต้องหาข้อมูล ให้ชัดเจนว่า เจ้าภาพที่เชิญเราไปพูด พูดในโอกาสอะไร มีหัวข้อหรือไม่ หัวข้อเกี่ยวกับอะไร พูดให้ใครฟัง ผู้ฟังมีระดับการศึกษาระดับไหน พูดในห้องปิดหรือห้องเปิด และพูดเป็นคนที่เท่าไหร่ ได้เวลาพูด กี่นาที เหล่านี้คือข้อมูลเบื้องต้นที่ผู้พูดต้องแสวงหาหรือสอบถามจากเจ้าภาพให้ชัดเจน แล้วผู้พูดจึงมาเรียบเรียงเรื่องที่จะพูด ให้เหมาะกับเวลา สถานที่ กับคนฟัง เช่น ถ้าพูดให้ชาวบ้านธรรมดา ฟัง เราก็ใช้ภาษา ชาวบ้านพื้นๆ เข้าใจง่าย ถ้าพูดกับคนมีการศึกษาเราอาจใช้ภาษาที่เป็นแบบแผนมีวิชาการ มีแหล่งข้อมูลอ้างอิง เพื่อให้การพูดเราน่าเชื่อถือ นี่คือขั้นตอน เตรียมตัว หรือเตรียมให้พร้อม
2. ซ้อมให้ดี
หมายถึง เมื่อเราได้ข้อมูลจากข้อ 1 มาพร้อมแล้ว เราก็มากำหนดเรื่องที่จะพูด ให้พอเหมาะกับเวลาที่เราได้มา โดยเราต้องซ้อมพูดจนให้จำได้ขึ้นใจ ซ้อมท่าที การวางตัว และจับเวลา ให้จบลงให้ได้ในเวลา ถ้าไม่พอดีเราก็สามารถปรับเนื้อหาลงได้ เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนซ้อม
3. ท่าทีให้สง่า
หมายถึง ผู้พูดต้องสร้างความน่าสนใจ โดยให้ความสำคัญกับบุคคลิกของตนเองให้มีความน่าเชื่อถือ ในสายตาผู้ฟัง การแต่งตัว ต้องไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ควรระวังในเรื่องเครื่องประดับสำหรับผู้พูดที่เป็นสุภาพสตรี โดยเฉพาะเครื่องประดับที่ดูวูบวาบ เช่น กำไร ต่างหู ไม่ควร ดูเวอร์เกินไป เพราะจะดึงดูดความสนใจผู้ฟังมากกว่า เนื้อหาที่เราพูด
4. วาจาให้สุขุม
ในการพูดแต่ละครั้ง กิริยาของผู้พูดเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ผู้พูดประสบความสำเร็จในการพูดหรือไม่ เราต้อง รู้จักใช้คำในการพูดให้เหมาะสมกับผู้ฟัง ไม่ใช่พูดไปหัวเราะไป จะทำให้ขาดความน่าสนใจ เราเป็นนักพูด ไม่ใช่แสดงตลก เป้าหมายเราคือ ความสำเร็จในการพูด ความน่าเชื่อถือ แต่การพูดต้องไม่แข็งทื่อ ขาดรสชาติ เกร็ง ต้องพูดให้เป็นธรรมชาติที่สุด
5. ทักที่ประชุมอย่าวกวน
การทักที่ประชุม เป็นสิ่งแรกที่ผู้พูดต้องเอ่ยปากพูดก่อนทุกครั้งที่พูด เราต้องรู้ว่าในที่ประชุมนั้น ใครเป็นประธานในงานใครใหญ่ที่สุดในงานนั้น เช่น งานแต่งงาน เจ้าภาพ อาจเชิญ นายกฯ รัฐมนตรี หรือผู้นำท้องถิ่นอื่นๆ มาเป็นประธานในงาน เราต้องทักคนนั้นก่อน เช่น เชิญ นายก อบจ.มาเป็นประธาน เราต้องทักที่ประชุมโดยเริ่มจาก
ท่านนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัด แล้วตามด้วยชื่อ นายก อบจ . แล้วทักต่อมาคือ ท่านเจ้าภาพ และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
(ท่านนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่นนายบุญลือ ชื่อกระฉ่อน ท่านเจ้าภาพ และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ) การทักที่ประชุมต้องไม่ทักให้ยาวเช่นเรารู้จักหลายคนเราทักจนหมด เช่น
ท่านนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น นายบุญลือ ชื่อกระฉ่อน ท่าน สจ.ท่าน กำนัน ท่านผู้กำกับ ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านอบต. ท่านเจ้าภาพ..........ยาวไปเรื่อย ( นักพูดที่ดีต้องไม่ทำในสิ่งเหล่านี้ )
6 . เริ่มต้นให้โน้มน้าว
การพูดจะน่าสนใจหรือไม่ ตัดสินที่การเริ่มต้นเป็นหลัก การเริ่มต้นที่ดี ทำให้การพูดต่อไปราบรื่น หลังจากที่เราทักที่ประชุมแล้ว เราต้องหา คำคมหรือสำนวน อื่นๆ มาให้เข้ากับงาน เช่นในงานแต่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่ สนใจอยู่กับการกิน และพูดคุย ไม่สนใจบรรยากาศบนเวที เราต้องมีวิธีการ ดึงคนฟังให้หันมาสนใจเราให้ได้ เช่น ท่านทั้งหลายครับ ท่านสละเวลา หันมามองผมสักนิด ท่านเห็นสิ่งที่ผมถืออยูในมือไหมครับ แล้วก็ชูมือขึ้น แล้วพูดต่อว่า ตะเกียบครับ การที่ใครซักคนจะตกลงมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จนเกิดงานแต่งงานขึ้นก็เหมือนกับตะเกียบคู่นี้ ตะเกียบจะขาดข้างใดข้างหนึ่งไปไม่ได้ เหมือนกับชีวิตคู่ ต้องเดินไปด้วยกัน .........เมื่อเราดึงผู้ฟังได้แล้วเราก็ว่าเรื่องของเราไป
หรือใช้มุกขำๆ เช่น ท่านที่จอดรถ อยู่ชั้น 1 ชั้น2 ชั้น3ว่าไปจนครบ ทุกคนก็เริ่มสนใจเราว่าจะพูดอะไรต่อไป เกี่ยวกับรถเขาหรือไม่ เราก็หักมุม กรุณาฟังผมสักนิด................ว่าไป นี่คือวิธีดึงดูดผู้ฟังมาหาเรา
สิ่งที่ไม่ควรพูดในงานแต่งงานที่มีคนกำลังกินอาหารอยู่ เช่น นาย ก.ถุกกำหนดให้เป็นผู้แทนบ่าวสาว พอขึ้นพูด ก็ไม่ทักที่ประชุม แค่ทักว่า ท่านทั้งหลายครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ผมมาช้า เหตุที่ผมมาช้าไม่ใช่เพราะอะไรครับ เพราะผมขี้แตก ขี้แตกทั้งคืน จนแสบตูด แถมมีเม็ดพริกออกมาด้วยผมต้องให้น้ำเกลืออยู่เป็นชั่วโมงค่อยลุกมาได้ แล้วก็บรรยายเรื่องขี้แตกของแกไปจนครึ่งชั่วโมงก็ลงไม่เป็น ( พูดไม่เป็น )
วันนี้ขออธิบาย 6 หัวข้อก่อน และจะอธิบายในหน้าต่อไป
กังวาล ทองเนตร
อย่างที่บอกครับว่า การพูดได้กับการพูดเป็น มันเป็นคนละเรื่องกัน การพูดได้คือ มนุษย์ทุกคน ถ้าไม่เป็นใบ้ เมื่อถึงเวลา ก็พูดได้เองตามธรรมชาติ ตามพ่อแม่ แต่การพูดเป็น คือการพูดให้ถูกกาละเทศะ พูดให้ได้ใจคน และการที่จะทำอย่างนั้นได้ จึงจำเป็นจะต้องมีการเรียนรู้และฝึกฝน
ในเบื้องต้นจึงขออธิบาย หัวใจของนักพูดทั้ง 13 ประการ พอให้เข้าใจเพื่อเป็นแนวทางต่อไป
1. เตรียมให้พร้อม
หมายถึง ผู้พูด หรือนักพูด ต้องหาข้อมูล ให้ชัดเจนว่า เจ้าภาพที่เชิญเราไปพูด พูดในโอกาสอะไร มีหัวข้อหรือไม่ หัวข้อเกี่ยวกับอะไร พูดให้ใครฟัง ผู้ฟังมีระดับการศึกษาระดับไหน พูดในห้องปิดหรือห้องเปิด และพูดเป็นคนที่เท่าไหร่ ได้เวลาพูด กี่นาที เหล่านี้คือข้อมูลเบื้องต้นที่ผู้พูดต้องแสวงหาหรือสอบถามจากเจ้าภาพให้ชัดเจน แล้วผู้พูดจึงมาเรียบเรียงเรื่องที่จะพูด ให้เหมาะกับเวลา สถานที่ กับคนฟัง เช่น ถ้าพูดให้ชาวบ้านธรรมดา ฟัง เราก็ใช้ภาษา ชาวบ้านพื้นๆ เข้าใจง่าย ถ้าพูดกับคนมีการศึกษาเราอาจใช้ภาษาที่เป็นแบบแผนมีวิชาการ มีแหล่งข้อมูลอ้างอิง เพื่อให้การพูดเราน่าเชื่อถือ นี่คือขั้นตอน เตรียมตัว หรือเตรียมให้พร้อม
2. ซ้อมให้ดี
หมายถึง เมื่อเราได้ข้อมูลจากข้อ 1 มาพร้อมแล้ว เราก็มากำหนดเรื่องที่จะพูด ให้พอเหมาะกับเวลาที่เราได้มา โดยเราต้องซ้อมพูดจนให้จำได้ขึ้นใจ ซ้อมท่าที การวางตัว และจับเวลา ให้จบลงให้ได้ในเวลา ถ้าไม่พอดีเราก็สามารถปรับเนื้อหาลงได้ เนื่องจากอยู่ในขั้นตอนซ้อม
3. ท่าทีให้สง่า
หมายถึง ผู้พูดต้องสร้างความน่าสนใจ โดยให้ความสำคัญกับบุคคลิกของตนเองให้มีความน่าเชื่อถือ ในสายตาผู้ฟัง การแต่งตัว ต้องไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ควรระวังในเรื่องเครื่องประดับสำหรับผู้พูดที่เป็นสุภาพสตรี โดยเฉพาะเครื่องประดับที่ดูวูบวาบ เช่น กำไร ต่างหู ไม่ควร ดูเวอร์เกินไป เพราะจะดึงดูดความสนใจผู้ฟังมากกว่า เนื้อหาที่เราพูด
4. วาจาให้สุขุม
ในการพูดแต่ละครั้ง กิริยาของผู้พูดเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ผู้พูดประสบความสำเร็จในการพูดหรือไม่ เราต้อง รู้จักใช้คำในการพูดให้เหมาะสมกับผู้ฟัง ไม่ใช่พูดไปหัวเราะไป จะทำให้ขาดความน่าสนใจ เราเป็นนักพูด ไม่ใช่แสดงตลก เป้าหมายเราคือ ความสำเร็จในการพูด ความน่าเชื่อถือ แต่การพูดต้องไม่แข็งทื่อ ขาดรสชาติ เกร็ง ต้องพูดให้เป็นธรรมชาติที่สุด
5. ทักที่ประชุมอย่าวกวน
การทักที่ประชุม เป็นสิ่งแรกที่ผู้พูดต้องเอ่ยปากพูดก่อนทุกครั้งที่พูด เราต้องรู้ว่าในที่ประชุมนั้น ใครเป็นประธานในงานใครใหญ่ที่สุดในงานนั้น เช่น งานแต่งงาน เจ้าภาพ อาจเชิญ นายกฯ รัฐมนตรี หรือผู้นำท้องถิ่นอื่นๆ มาเป็นประธานในงาน เราต้องทักคนนั้นก่อน เช่น เชิญ นายก อบจ.มาเป็นประธาน เราต้องทักที่ประชุมโดยเริ่มจาก
ท่านนายก องค์การบริหารส่วนจังหวัด แล้วตามด้วยชื่อ นายก อบจ . แล้วทักต่อมาคือ ท่านเจ้าภาพ และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน
(ท่านนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่นนายบุญลือ ชื่อกระฉ่อน ท่านเจ้าภาพ และแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ) การทักที่ประชุมต้องไม่ทักให้ยาวเช่นเรารู้จักหลายคนเราทักจนหมด เช่น
ท่านนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น นายบุญลือ ชื่อกระฉ่อน ท่าน สจ.ท่าน กำนัน ท่านผู้กำกับ ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านอบต. ท่านเจ้าภาพ..........ยาวไปเรื่อย ( นักพูดที่ดีต้องไม่ทำในสิ่งเหล่านี้ )
6 . เริ่มต้นให้โน้มน้าว
การพูดจะน่าสนใจหรือไม่ ตัดสินที่การเริ่มต้นเป็นหลัก การเริ่มต้นที่ดี ทำให้การพูดต่อไปราบรื่น หลังจากที่เราทักที่ประชุมแล้ว เราต้องหา คำคมหรือสำนวน อื่นๆ มาให้เข้ากับงาน เช่นในงานแต่ง ซึ่งคนส่วนใหญ่ สนใจอยู่กับการกิน และพูดคุย ไม่สนใจบรรยากาศบนเวที เราต้องมีวิธีการ ดึงคนฟังให้หันมาสนใจเราให้ได้ เช่น ท่านทั้งหลายครับ ท่านสละเวลา หันมามองผมสักนิด ท่านเห็นสิ่งที่ผมถืออยูในมือไหมครับ แล้วก็ชูมือขึ้น แล้วพูดต่อว่า ตะเกียบครับ การที่ใครซักคนจะตกลงมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จนเกิดงานแต่งงานขึ้นก็เหมือนกับตะเกียบคู่นี้ ตะเกียบจะขาดข้างใดข้างหนึ่งไปไม่ได้ เหมือนกับชีวิตคู่ ต้องเดินไปด้วยกัน .........เมื่อเราดึงผู้ฟังได้แล้วเราก็ว่าเรื่องของเราไป
หรือใช้มุกขำๆ เช่น ท่านที่จอดรถ อยู่ชั้น 1 ชั้น2 ชั้น3ว่าไปจนครบ ทุกคนก็เริ่มสนใจเราว่าจะพูดอะไรต่อไป เกี่ยวกับรถเขาหรือไม่ เราก็หักมุม กรุณาฟังผมสักนิด................ว่าไป นี่คือวิธีดึงดูดผู้ฟังมาหาเรา
สิ่งที่ไม่ควรพูดในงานแต่งงานที่มีคนกำลังกินอาหารอยู่ เช่น นาย ก.ถุกกำหนดให้เป็นผู้แทนบ่าวสาว พอขึ้นพูด ก็ไม่ทักที่ประชุม แค่ทักว่า ท่านทั้งหลายครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ผมมาช้า เหตุที่ผมมาช้าไม่ใช่เพราะอะไรครับ เพราะผมขี้แตก ขี้แตกทั้งคืน จนแสบตูด แถมมีเม็ดพริกออกมาด้วยผมต้องให้น้ำเกลืออยู่เป็นชั่วโมงค่อยลุกมาได้ แล้วก็บรรยายเรื่องขี้แตกของแกไปจนครึ่งชั่วโมงก็ลงไม่เป็น ( พูดไม่เป็น )
วันนี้ขออธิบาย 6 หัวข้อก่อน และจะอธิบายในหน้าต่อไป
กังวาล ทองเนตร