หน้าเว็บ

กลับหน้าแรกล่าสุด

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กำเนิดศาสนาอิสลาม





ศาสนาอิสลาม


  • ศาสนาอิสลาม จัดอยู่ในกลุ่ม ศาสนา เอกเทวนิยม คือ เป็นศาสนาที่นับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว และเป็นศาสนา ที่มาสายเดียวกันกับ ศาสนา ยิว และศาสนาคริสต์ มีความมุ่งหมายคือ พระเจ้าสูงสุดองค์เดียวเท่านั้น ผู้ก่อตั้งศาสนา หรือศาสดาของศาสนาคือ ท่าน นบีมูฮัมหมัด


ชีวประวัติของท่านนบีมูฮัมหมัดพอสังเขป


  • ท่านนบีมูฮัมหมัด เกิดที่เมืองเมกกะ ประเทศอาหรับ ( ปัจจุบันคือซาอุดีอารเบีย ) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.1113 เป็นบุตรคนเดียวของท่านอับดุลเลาะห์ และนางอามีนะฮ์
  • ท่านนบี กำพร้าบิดามารดาตั้งแต่เยาว์วัย ผู้เป็นปู่ จึงนำไปอุปการะเลี้ยงดู ต่อมาปู่ของท่านก็ถึงแก่กรรมไปอีก ผู้เป็นลุงจึงนำไปอุปการะจนอายุได้ 25 ปีท่านจึงได้แต่งงานกับหญิงหม้ายวัย 40 ปี ชื่อนางคอดียะห์ มีบุตรด้วยกัน 6 คน เป็นชาย 2 เป็นหญิง 4 คน แต่บุตรชายของท่าน เสียชีวิตหมดทั้ง 2 คน ท่านจึงได้นำ อาลี บุตรของลุงมาเลี้ยงแทน
  • เมื่ออายุได้ 40ปี ท่านนบีได้ออกแสวงหาความวิเวก ณ ถ้ำ ฮิรอฮ์ ห่างจากเมือง เมกกะประมาณ 3 ไมล์
  • วันหนึ่งท่านนบีได้พบกับเทพญิบรออิล ผู้เป็นฑูตแห่งสวรรค์ซึ่งได้ยื่นโองการจากสวรรค์ให้ท่าน เมื่อกลับบ้าน ท่านนบีได้เล่าให้ภรรยาฟัง ภรรยาจึงกล่าวกับท่านว่าท่านจะได้เป็นศาสดา



การประกาศศาสนา

  • การประกาศศาสนาเริ่มขึ้นที่เมกกะ เมื่อท่านนบีอายุได้ 40 ปี โดยช่วง 3 ปีแรกการประกาศศาสนาเป็นไปอย่างเร้นลับ ต้องต่อสู้กับอุปสรรคมากมาย เพราะผู้คนยังเชื่อและยึดติดอยู่กับความเชื่อดั้งเดิม
  • ท่านนบีจึงถูกปองร้ายจึงได้อพยพไปยังเมืองยัทริบ ( Yarthrib) การอพยพครั้งนี้ ตรงกับวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.1165 คือเริ่มศักราชที่ 1 ของการอพยพ และนับเป็นการเริ่มต้น แห่งฮิจเราะห์ศักราชของศาสนาอิสลาม
  • ในขณะที่ท่านนบีได้พำนักอยู่ที่เมือง ยัทริบ กองทัพของเมกกะได้ยกมารุกราน ถึงแม้กำลังจะมีน้อยกว่า แต่ท่านนบีก็สามารถปราบทัพของเมกกะได้อย่างราบคาบ 
  • ต่อมาเมืองยัทริบได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเมือง เมดินา และท่านนบีมูฮัมหมัดได้รับเกียรติให้ปกครองเมืองนี้
  • และช่วงเวลานี้ท่านนบีก็ได้ทำสงครามกับชาวเมืองเมกกะอีกหลายครั้งและได้รับชัยชนะ ในพ.ศ. 1173
  • และในที่สุด ศาสนาอิสลามก็ได้ถูกสถาปนาขึ้นที่เมืองเมกกะนี้ และได้สถาปนาอาณาจักรของชาวอาหรับขึ้น
  • ท่านนบีได้นำเผยแผ่ศาสนาอิสลามมาได้ 23 ปี ท่านก็ถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. 1175 รวมอายุของท่านได้ 63 ปี



คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม

คัมภีร์ของศาสนาอิสลามมีทั้งหมด 104 คัมภีร์ แต่ที่สำคัญมี 4 คัมภีร์คือ

  1. คัมภีร์เตารอต ได้แก่พันธสัญญาเดิมของศาสนายิวและศาสนาคริสต์ประทานแก่ โมเสส หรือ นบีมูชา
  2. คัมภีร์ชาบูร ประทานแก่นบีดาวูด หรือ เดวิด
  3. คัมภีร์อินญิล ประทานแก่ บีอีซา ( พระเยซู ) คือคัมภีร์ พันธสัญญาใหม่ ซึ่งผมจะนำเสนอในโอกาสต่อไป
  4. คัมภีร์อัลกุรอาน หรือโกรัน ( Koran )ประทานแก่ นบีมูฮัมหมัด ซึ่งถือว่าเป็นภาคจบหรือภาคสุดท้าย ของคัมภีร์ที่พระเจ้าประทานต่อมนุษย์ 

นิกายของศาสนาอิสลาม

  • ศาสนาอิสลามก็เช่นเดียวกับสาสนาอื่น เมื่อสิ้นองค์ศาสดา ก็จะมีผู้ตีความพระคัมภีร์ตามความเชื่อของตนจนเกิดนิกายใหม่และวิธีปฏิบัติที่แตกต่างจากเดิมออกไป
  • ศาสนาอิสลามคล้ายคลึงกับศาสนาคริสต์คือ เชื่อในพระเจ้าองค์เดียว โดยอิสลามใช้สัญลักษณ์ของศาสนา เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว คล้ายจะอมดวงดาว และมีนิกายสำคัญดังนี้
  1. นิกายซุนนี ( Sunni ) คำว่าซุนนี หรือสุหนี่ เป็นคำที่มีรากศัพย์มาจากภาษาอาหรับ คือคำว่า ซุนนะฮ์ ที่แปลว่า จารีต  นิกายนี้มีการปฏิบัติตามคำสอนขององค์ศาสดา โดยยึดคัมภีร์อัลกุรอาน เป็นหลักสำคัญในการปฏิบัติ และใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตด้วย เป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุด และมีผู้นับถือมากที่สุดในศาสนาอิสลาม  โดยใช้หมวกสีขาว เป็นเครื่องหมายแห่งนิกาย มีหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัด นิกายนี้ยกย่องว่า กาหลิบ และอิหม่าม เป็นผู้สืบทอดศาสนา ต่อจากท่านนบี กาหลิบคนแรกของนิกาย ซุนนี คือ  อาบูบากร์ ซึ่งเป็นพ่อตาของท่านนบีมูฮัมหมัด และถือเอาว่าผู้ที่สืบเชื้อสายจาก อาบูบากร์ เป็นกาหลิบที่แท้จริง
  2. นิกายชีอะห์ ( Shiah )  หรือ Shi- ite หรือ มะงุ่น คือพวกเจ้าเซนบุตรอาลี โดยนิกายนี้ใช้หมวกสีแดงเป็นเครื่องหมาย นิกายยกยกเอาอาลี ซึ่งเป็นบุตรเขยของท่านนบีมูฮัมหมัด และไม่ยอมรับ อาบูบากร์ ว่าเป็นศาสนทายาทที่แท้จริงของท่านนบี พิธีสำคัญของนิกาย เช่นจะมีการเต้นเจ้าเซน ในเดือนโมหรั่ม เพื่อรำลึกถึงวันสิ้นชีพของบุตรของอาลี
  3. นิกายวาฮะบี ( Wahabi ) ผู้สถาปนานิกายนี้คือ มุฮัมหมัด บินอับดุล วาฮับ เกิดนิกายนี้ขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ พ.ศ. 2234-2299 มีจุดประสงค์คือต้องการรักษาศาสนาอิสลามไว้ให้คงความบริสุทธิ์เหมือนเดิมทุกประการ โดยนับถือความเป็นใหญ่ของคัมภีร์อัลกุรอาน เป็นที่สุด และมีความพยายามแปลคัมภีร์นี้ให้ตรงพระคัมภีร์เดิมทุกตัวอักษร ปฏิเสธคำอธิบายของนิกายสุหนี่ นับถือพระอัลเลาะห์ เพียงพระองค์เดียว ไม่นับถือ นบี หรือ กาหลิบ คนใดทั้งสิ้น ว่าเป็นผู้สืบต่อศาสนา เพราะนิกายนี้ถือว่าการทำเช่นนั้นถือเป็นการยกย่องเอาบุคคลขึ้นมาเทียบเท่าพระอัลเลาะห์ รวมถึงนิกายนี้ไม่ยอมรับ อิหม่าม หรือนักปราชญ์อื่นในศาสนาอิสลามในฐานะผู้ตีความคำสอนของศาสนาอิสลาม และไม่อนุญาตให้มีพิธีกรรมใดๆ ที่นอกเหนือจากที่มีบัญญัติไว้ในอัลกุรอานเท่านั้น
หลักคำสอนสำคัญของศาสนาอิสลาม

หลักศรัทธา 6 ประการ ที่ผู้เป็นมุสลิมต้องยึดมั่นไว้ตลอด มีดังนี้

  1. ศรัทธาในพระเจ้า ผู้ที่เป็นมุสลิมจะต้องมีศรัทธาในพระอัลเลาะห์ หรือพระเจ้าองค์เดียว ห้ามมุสลิมทุกคนสักการะสิ่งอื่นนอกจากพระอัลเลาะห์
  2. ศรัทธาใน มลาอีกะห์ ( เทวฑูต ) มลาอีกะห์ คือผู้รับใช้พระเจ้า เป็นเทวฑูต หรือฑูตสวรรค์ มีคุณสมบัติต่างไปจากมนุษย์ คือ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่นอน ไม่มีเพศสัมพันธุ์ เป้นวิญญาณที่มองไม่เห็น ไม่กระทำตามอารมณ์ที่ชอบ เพราะเราไม่อาจทราบรูปร่างและจำนวนที่แท้จริงของมลาอีกะห์ พระเจ้าสร้างขึ้นเป็นจำนวนมาก เช่น ญิบรออิล เป็นผู้นำโองการจากพระเจ้ามาถ่ายทอด แก่ศาสนาอิสรออิล ทำหน้าที่ทอดวิญญาณของมนุษย์ออกจากร่างเวลาตาย รกิบอติ๊ก ทำหน้าที่บันทึกความดีความชั่วของมนุษย์ มุสลิมต้องเชื่อว่า มลาอีกะห์ มีอยู่จริง
  3. ศรัทธาในพระคัมภีร์ทั้งหลาย คัมภีร์อัลกุรอาน ถือเป็นคัมภีร์สุดท้ายที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ ดดยผ่านท่าน นบีมูฮัมหมัด
  4. ศรัทธาในบรรดาศาสนฑูต ศาสนฑูตเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ อัลเลาะห์ทรงเลือก มาเพื่อนำคำสอนของพระองค์มาประกาศแก่มนุษย์ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ นบี หมายถึงผู้ได้รับโองการจากพระเจ้าและปฏิตนตามนั้น และรอซูล หมายถึง นบี ที่นอกจากจะปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าแล้วยังต้องนำคำสอนดังกล่าวไปประกาศแก่มนุษย์ด้วย เช่น โมเสส พระเยซู และนบีมูฮัมหมัด 
  5. ศรัทธาในวันพิพากษา มุสลิมเชื่อว่าเมื่อมนุษย์ถึงแก่ความตายร่างกายจะเน่าเปื่อย แต่วิญญาณซึ่งเป็นอมตะ จะรอรับผลแห่งการกระทำ ของตนเองสำหรับโลกนี้และต้องถึงวันสิ้นโลก ซึ่งมุสลิมเรียกว่า วันกียามะห์ หรือวันปรโลก การพิพากษา พระเจ้าจะตอบแทนความดีความชั่วให้แก่ทุกดวงวิญญาณ อย่างยุติธรรม และทุกชีวิตจะบังเกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากถูกพิพากษา และจะมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร เสวยผลแห่งคำพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้าตลอดไป  โลกใหม่นี้เรียกว่า โลกอาคีวัต
  6. ศรัทธาในกฎกำหนดสภาวการณ์ คือ กฎอันแน่นอนที่พระเจ้าทรงกำหนดสำหรับโลกและมนุษยชาติ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
               6.1 กฎที่ตายตัว เป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่นการถือกำเนิด ชาติพันธุ์ รูปร่างหน้าตา ปรากฎการณ์ผ่านธรรรมชาติ
                6.2 กฎที่ไม่ตายตัวเป็นกฎที่ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย คือ การทำดี ทำชั่ว รวมถึงผลตอบแทนที่เกิดขึ้น มนุษย์มีปัญญา มีเหตุผล สามารถเลือกปฏิบัติและไม่ปฏิบัติก็ได้ มุสลิมถือว่าพระเจ้าได้ประทานสติปัญญาและแนวทางชีวิตที่ดีงามมาให้แล้ว เพียงแต่มนุษย์จะดำเนินตามหรือไม่เท่านั้น


หลักปฏิบัติ 5 ประการของมุสลิม


1. การปฏิญานตน 


  • คือการปฏิญานตนยอมรับ พระอัลเลาะห์เป็นพระเจ้าแต่เพียงองค์เดียว และยอมรับว่า นบีมูฮัมหมัด เป็น รอซูล ของพระอัลเลาะห์
2.การละหมาด 

  • คำว่าละหมาด หรือ นมาช มีรากศัพท์เดิมมาจากภาษา เปอร์เซีย ( อิหร่านปัจจุบัน ) หมายถึงการขอพร เป็นการนมัสการพระเจ้าแสดงความเคารพทั้งกายและใจ แสดงถึงความภักดีต่อพระเจ้า การละหมาดจะปฏิบัติกันวันละ 5 ครั้งดังนี้
  • เช้า    เวลา ตี  4.30   น.    เรียกว่า        ซูบุห์
  • เที่ยง เวลา     12.00  น.     เรียกว่า      ลาฮอร์
  • บ่าย   เวลา     15.15 น.      เรียกว่า      อาซาอาร์
  • เย็น    เวลา      18.00 น.     เรียกว่า      มากริบ
  • ค่ำ      เวลา      19.15 น.     เรียกว่า      อีกซัก

    3.  การถือศีลอด
  • เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อัศศิยาม แปลว่า การละ หรือ การงดเว้น หมายถึงการงดเว้น บริโภคอาหาร และเครื่องดื่ม การร่วมประเวณี การประพฤติชั่วทาง กาย วาจา ใจ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น จนถึง พระอาทิตย์สิ้นแสง มีระยะเวลา การถืออด 1 เดือน เรียกว่าเดือน รอมฎอน คือ เดือน 9 ของฮิจเราะห์ ศักราช ซึ่งสำนักจุฬาราชมนตรีจะเป็นผู้ออกประกาศการเริ่มถือศีลอด ไปยังมุสลิม ให้ทราบโดยทั่วกัน
     4. กาซากาต หรือ การบริจาค 
  • ซากาต มีรากศัพท์มาจากภาษาอาหรับ แปลว่า การทำให้บริสุทธิ์ หมายถึงการบริจาคทาน ให้มุสลิมบริจาคทรัพย์ของตนส่วนหนึ่งที่หามาได้ด้วยความสุจริต เป็นทานแก่คนยากจน คนขัดสน เพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้นลง ตามบทบัญญัติในพระคัมภีร์ระบุไว้ว่า ในรอบปีหนึ่ง จะซากาตในอัตรา ร้อยละ 2.5 % ของทรัพย์สินหมุนเวียนที่มีอยู่ 
  • สำหรับซากาตฟิตเราะห์ ได้แก่ บริจาคเนื่องในวันตรุษ อีดิลฟตรี คือหลังจากเสร็จสิ้นการถือศีลอด จะบริจาคเป็นข้าวหรืออาหารหลักของท้องถิ่นนั้นๆ เช่น ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ข้าวสาลี เป็นต้น

   5. การประกอบพิธีฮัจญ์ 
  • คำว่า ฮัจญ์ หมายถึง การไปสู่ หรือการไปเยือน หมายถึงการปรพกอบพิธีศาสนกิจ ณ วิหาร กาบาห์ หรือ บัยตุลเลาะห์ ที่เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดีอารเบีย
  • พิธีฮัจญ์ เป็นหลักปฏิบัติเพียงข้อเดียว ของศาสนาอิสลามที่ไม่บังคับ ให้มุสลิมทุกคนต้องกระทำ โดยให้ปฏิบัติเฉพาะผู้ที่มีความพร้อม มีสุขภาพแข็งแรง มีเงิน สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เท่านั้น และต้องไม่เป็นหนี้สินเป็นการเดือดร้อน และการเดินทางไป ฮัจญ์จะต้องได้รับการยินยอมจากคนในครอบครัวด้วย

ปฏิทิน ฮิจเราะห์ 12 เดือน ในศาสนาอิสลาม




  1. เดือนมุฮัรรอม
  2. เดือนซอฟัร
  3.  เดือนร่อบีอุ้ลเอาวั้ล
  4. เดือนร่อบีอุซซานีย์
  5. เดือนญะมาดิ้ลอูลา
  6.  เดือนญะมาดิซซานีย์ 
  7. เดือนร่อญับ
  8.  เดือนชะอ์บาน 
  9. เดือนรอมฎอน
  10. เดือนเชาวาล
  11. เดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์
  12.  เดือนซุ้ลฮิจญะห์ 




                                                       



กังวาล ทองเนตร เรียบเรียง





การละหมาด 1


การละหมาด2


                 ติดตามอ่านเนื้อหาต่อเนื่องใน >> >> โลกอิสลาม

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา


วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
  • วันสำคัญทางศาสนาหมายถึง วันที่เกิดเหตุการณ์พิเศษ บางอย่างขึ้นในพระพุทธศาสนา โดยมากจะเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 

วันสำคัญในพระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่พุทธศาสนิกชน จะประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยจะมีอยู่ 7 วันดังนี้

1. วันมาฆะบูชา

  • วันมาฆะบูชา แปลว่า การบูชาในเดือน 3 ซึ่งนับเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนาท่ามกลางพระสงฆ์ ณ เวฬุวันมหาวิหาร โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงปรารภเหตุสำคัญ 4 ประการ เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาตร แปลว่าการประชุมที่พร้อมด้วยองค์ 4 คือ

  1. วันนั้นเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3
  2. วันนั้นพระอรหันตขีณาสพ จำนวน 1,250 รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
  3. พระอรหันตขีณาสพ ที่มาประชุมกันในวันนั้นล้วนเป็นผู้บรรลุอภิญญา 6 แล้วทั้งสิ้น
  4. พระอรหันตขีณาสพทั้งหมดในวันนั้น เป็น เอหิภิกขุ คือผู้ที่ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง
  • และอีก 44 ปี ต่อมาในวันเดียวกันนี้มีการปลงพระชนมายุสังขารของพระพุทธเจ้า โดยพรรษาสุดท้ายขณะประทับอยู่ที่ ปาวาลเจดีย์ ใกล้เมืองเวสาลี 
  • พระองค์ได้แสดงนิมิตโอภาสแก่ พระอานนท์ว่า ผู้ใดเจริญอิทธิบาทธรรม 4 ประการดีแล้ว ถ้าปรารถนาก็มีอายุยืนอยู่ได้ถึงกัป หรือเกินกัป  ( 1 กัป เท่ากับ 120 ปี ) แต่พระอานนท์คิดไม่ถึงจึงไม่อาราธนาให้พุทธเจ้าอยู่ต่อ

  • เมื่อพระอานนท์ออกไปจากเข้าเฝ้า มารจึงเข้ามาให้พระองค์ปรินิพพาน พระองค์จึงรับอาราธนา โดยกำหนดปริพพานในอีก 3 เดือน ข้างหน้า คือวันวิสาขบูชา ดังนั้นวันที่ทรงตัดสินพระทัยปริพพานจึงตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 นั่นเอง



2. วันวิสาขบูชา

  • วิสาขบูชา แปลว่าการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 เพื่อระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า

วิสาขบูชา เป็นวันสำคัญพิเศษที่สุดในพระพุทธศาสนา คือเป็นวันที่ พุทธองค์ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ทั้งหมดเกิดขึ้นในวันเดียวกัน ต่างปีกันเท่านั้นเอง แต่เกิดในวันเพ็ญ เดือน 6 เหมือนกันทุกเหตุการณ์ กล่าวคือ

  • ประสูติ  เมื่อ วันศุกร์ วันเพ็ญเดือน 6 เวลาใกล้เที่ยงก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ ป่าลุมพินีเขตต่อระหว่าง กรุงกบิลพัสด์ และกรุงเทวทหะ
  • ตรัสรู้  เมื่อ วันเพ็ญ เดือน 6 อีก 35ปีต่อมา หลังจากพระองค์ประสูติ และออกบวชแสวงโมกขธรรมได้ 6 ปี ที่ใต้ต้นโพธิ์ ชื่อว่า อัสสถะ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุ แคว้น มคธ ปัจจุบัน เรียกว่า ตำบล พุทธคยา ประเทศอินเดีย
  • ปรินิพพาน  เมื่อ วันเพ็ญ เดือน 6 ในปีที่ 80 ของพระชนมายุของพระองค์ ณ แท่น บรรทม ระหว่าต้นรังคู่ ป่าสาละ เมืองกุสินารา ปัจจุบันเป็นตำบลกุสินาราหรือ กุสินาคาร์ รัฐ อุตตรประเทศ อินเดีย



3.วันอาสาฬหบูชา 


  • อาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาใน เดือน 8 เป็นวันสำคัญยิ่งอีกวันหนึ่ง เนื่องจากเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนา เป็นครั้งแรก หลังจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เรียกว่า ปฐมเทศนา โดยพระธรรมที่ทรงแสดงในวันนั้นเรียกว่า ธรรมจักกัปปวัตนสูตร โดยพระองค์แสดงธรรมโปรดครั้งคือคือปัญจวัคคีย์ และโกณฑัญญะ มีดวงตาเห็นธรรมก่อน และขอบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์เป็นสงฆ์ รูปแรกในพระพุทธศาสนา ได้นามใหม่ว่า อัญญา โกณฑัญญะ



บทสวดธรรมจักกัปปวัตนะสูตร (ปิดวิทยุที่ด้านข้างบล็อกก่อนค่อยคลิกเปิด )

4.วันอัฏฐมีบูชา


  • แปลว่าการบูชาในวันอัฏฐมี หมายถึง การบูชาในวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งเป็นวัน ถวายพระเพลิงพระสรีระสังขารของพระพุทธองค์ ซึ่งเกิดขึ้นถัดจากวันวิสาขบูชามาเพียง 8 วัน




5.วันเข้าพรรษา

  • วันเข้าพรรษาตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หรือ แรม 1 ค่ำ เดือน แปด หลังในปีอธิกมาส หรือ ปีที่มี 8 สองหน เป็นวันที่พุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุอยู่จำวัด หรืออยู่ประจำที่มิให้ไปพักแรมที่อื่นตลอดระยะเวลา 3 เดือน ไปสิ้นสุดเมื่อ วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 11


แต่ก็มีข้อยกเว้นเอาไว้ในกรณีจำเป็น 4 กรณี ที่ภิกษุ มีเหตุต้องไปจำวัดที่อื่นดังนี้
  1. เพื่อนสหธรรมิก คือภิกษุสามเณร บิดามารดาเจ็บป่วย เพื่อไปพยาบาลได้
  2. เพื่อนสหธรรมิกอยากจะลาสิกขา ไปเพื่อระงับมิให้ลาสิกขาได้
  3. ไปเพื่อกิจของสงฆ์ เช่น หาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิ วิหารที่ชำรุด
  4. หากทายก นิมนต์ไปทำบุญ จะไปเพื่อฉลองศรัทธาก็ได้ ด้วยอนุโลม
แต่การไปพักแรมที่อื่นตามเหตุ 4 ประการที่กล่าวมานั้นพระองค์อนุญาตได้ครั้งละไม่เกิน 7 วัน เรียกกรณีนี้ว่า สัตตาหะ
  • การเข้าพรรษานี้กำหนดให้เป็น  2 ช่วงคือพรรษาแรก กำหนดตั้งแต่ แรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงกลางเดือน 11 เรียกพรรษานี้ว่า ปุริมพรรษา หรือพรรษาแรก
  • พรรษาหลังหรือช่วงที่ 2 กำหนดตั้งแต่ แรม 1 ค่ำ เดือน 9 ถึงกลางเดือน 12 เรียกว่า ปัจฉิมพรรษา หรือพรรษาหลัง พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้เผื่อ กรณีสงฆ์ที่หาที่อยู่จำพรรษาไม่ได้หรือยังมีกิจที่ต้องทำค้างอยู่ ให้เข้าพรรษาใน ช่วงนี้แทนได้โดยไม่ผิดพระวินัย
6.วันออกพรรษา

  • ออกพรรษาตรงกับวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันครบ 3 เดือนแห่งการจำพรรษาพอดี และได้ปฏิบัตตนในพรรษาไม่จาริกไปสถานที่ต่างๆและเหล่าสงฆ์ทั้งหลายได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันตลอดพรรษา มีโอกาสได้ตักเตือน เกี่ยวกับความประพฤติที่เสื่อมเสีย หรือเรียกอีกอย่างว่า วันมหาปวารณา

7. วันเทโวโรหน
  • วันเทโวโรหนะ หมายถึงวันที่พระพุทธเจ้า เสด็จลงจากเทวโลก มาสู่มนุษย์โลก ปัจจุบันประเพณีนี้ได้จำลองเหตุการณ์ อัญเชิญพระพุทธรูปปางประทับยืน 1 องค์ นำหน้าแถวสงฆ์ ส่วนประชาชนที่มาใส่บาตรจะยืนหรือนั่ง 2 แถวหันหน้าเข้าหากัน โดยเว้นทางหว่างกลางให้สงฆ์เดินผ่าน

กังวาล ทองเนตร



วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สร้างภาพนิ่งให้เป็นภาพเคลื่อนไหว




เนื่องจากเป็นภาพเอนิเมชั่นซึ่งมีไฟล์ขนาดใหญ่อาจใช้เวลาในการดาวน์โหลดสักครู่


ภาพบนนี่คือภาพต้นฉบับซึ่งเป็นภาพนิ่งธรรมดา และเมื่อมาทำเป็นภาพเคลื่อนไหว
ก็จะได้ภาพเคลื่อนไหวดังภาพด้านล่าง



ภาพบนเป็นต้นฉบับภาพนิ่ง
ภาพล่างเมื่อนำมาเป็นภาพเคลื่อนไหว


ทั้งหมดด้านล่างก็ใช้หลักการเดียวกัน






















เคลื่อนไหวแบบ 3 มิติ


ภาพศิลปะจากโปรแกรมกราฟฟิค
































ภาพนิ่งเหล่านี้เราสามารถทำให้มันเคลื่อนไหวได้ ติดตามโอกาสต่อไป

พระพุทธศาสนากับหลักหลักธรรมค้ำจุนโลก


คลิกที่ภาพทุกภาพเพื่อดูภาพต้นฉบับ

พุทธศาสนา


  • พุทธศาสนา เกิดในประเทศอินเดีย ซึ่งอยู่ในทวีปเอเซียตอนใต้ ในสมัยพุทธกาล เรียกดินแดนแห่งนี้ว่า ชมพูทวีป มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ ตั้งแต่ ประเทศ อินเดีย เนปาล ภูฏาน ปากีสถาน และบังกลาเทศ ในปัจจุบัน


พุทธประวัติโดยสังเขป


  • พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ ทรงกำเนิดในราชตระกูล ศากยะ แห่งแคว้นสักกะ ทางตอนเหนือของอินเดีย มีเมืงหลวงชื่อ กรุงกบิลพัสดุ์
  • พระพุทธองค์ ทรงประสูติในวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80  ปีณ.สวนลุมพินีวัน ปัจจุบันคือ ตำบลรุมมินเด แขวง เปชวาร์ ประเทศเนปาล ( พ.ศ. 1 จะนับเมื่อ พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน )ต่างจากศาสนาอื่นจะนับเมื่อวันประสูตรของศาสดา



  • พระราชบิดาคือ พระเจ้าสุทโธทนะ เป็นกษัตริย์ครองกรุง กบิลพัสด์ พระมารดาคือ พระนางสิริมหามายา
  • เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้เพียง 7 วัน พระมารดาก็สิ้นพระชนม์ 
  • ผู้ที่ทำหน้าที่เลี้ยงดูเจ้าชายสิทธัตถะคือ พระนางปชาบดีโคต ซึ่งเป็นพระมาตุจฉา ( น้า )

เบื้องต้นเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ศึกษาศิลปวิทยาการจากสำนักของครู วิศวามิตร


  • เมื่อพระชนม์ได้ 16 พรรษา ก็ได้อภิเษกสมรส กับพระนาง ยโสธรา หรือ พิมพา ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระเจ้า สุปปพุทธะ และพระนาง อติมา แห่ง เทวทหนคร


  • เมื่อพระชนมายุ 29 พรรษา พระชายาก็ทรงประสูติพระโอรส เจ้าชายสิทธัตถะได้ขนานนามว่า ราหุล ซึ่งแปลว่า บ่วง หรือ ข่าย อันมีความหมายว่าลูกนั้นเสมือนเครื่องผูกพันพ่อแม่


  • เจ้าชายสิทธัตถะ มิได้ทรงหมกมุ่นอยู่กับ กามตัณหา ที่พระราชบิดา จัดสรรหามาให้แต่อย่างใด แต่ทรงเห็นความทุกข์ของพระองค์เอง และชาวโลก อันเนื่องมาจาก ความแก่ ความเจ็บ ความตาย พระองค์จึงเกิดข้อสรุปว่า การหมกมุ่นอยู่กับโลกียสุข มิใช่เห็นทางจะพ้นทุกข์ได้ แต่วิถีทางที่ทดีคือเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ ละความสุขทางโลกแล้วเสด็จออกบวชเพื่อแสวงธรรม ในตอนดึก โดยมิได้บอกกล่าวแก่ผู้ใด



  • โดยทรงม้าต้นชื่อ กัณฐกะ และมีมหาดเล็กชื่อ นายฉันนะ ตามเสด็จเพียงผู้เดียว เสด็จมุ่งตรงไปยังฝั่งแม่น้ำ อโนมา เพื่อทรงเปลี่ยนพระ ภูษิตาภรณ์ แล้วฉลองพระองค์อย่างนักบวช ซึ่งการเสด็จออกบวชครั้งนี้ เรียกว่า การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ หมายถึง การเสด็จออกบวชเพื่อคุณอันยิ่งใหญ่


พระองค์ใช้เวลาแสงหาโมกขธรรมเป็นเวลา 6 ปี โดยมีขั้นตอนวิธีดับทุกข์ดังนี้

  1. ได้ทรงเข้าศึกษาในสำนักของอาฬารดาบส และสำนักของ อุทกดาบส ตามลำดับ ทรงเรียนวิธีฝึกฝนอบรมจิตจนได้ฌานสมาบัติ 8 และเน้นหนักโยคะวิธี แต่ก็ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ที่แท้จริง
  2. ทรงทดลองปฏิบัติการบำเพ็ญตบะ หรือการทรมานตนเอง แต่ก็ยังมองไม่เห็นทางตรัสรู้อยู่ดี
  3. ทรงใช้ทางสายกลาง โดยพระองค์กลับมาเสวยพระกระยาหารตามเดิม แล้วบำเพ็ญเพียรทางจิตจากพื้นฐาน และทรงใช้วิธีการวิปัสสนา อีกขั้นตอนหนึ่ง และพิจารณา เบญจขันธ์ จนถึงสภาวะแห่งไตรลักษณ์ในที่สุด ก็ทรงตรัสรู้ ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ( เดือน 6 ) คือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ในขณะที่มีพระชนมายุได้ 35 พรรษาพอดี
  • ภายหลังจากตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้เสวย วิมุตติสุข หมายถึงสุขอันเกิดจากการหลุดพ้นจากกิเลสตัณหา โดยประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ เป็นเวลา 7 สัปดาห์ และทรงใช้เวลาดังกล่าวพิจารณาในสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ เพื่อที่จะนำธรรมะไปสั่งสอนประชาชนต่อไป
  • พุทธองค์ทรงคิดว่าบุคคลกลุ่มแรกที่ควรจะได้รับคำสั่งสอนและน่าจะสามารถเข้าใจธรรมะได้ดีคือ ปัญจวัคย์ ทั้ง 5คน ได้แก่ โกณฑัญญะ, วัปปะ, ภัททิยะ, มหานามะ, และอัสสชิ ซึ่งทั้งหมดอาศัยอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ดังนั้นเมื่อวันเพ็ญ กลางเดือน 8 พระองค์ ก็ได้ประทานปฐมเทศนา อันได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร แก่โกณทัญญะ
  • โดยสรุปใจความว่า การดำเนินชีวิตตามทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
  • พระองค์ไม่เห็นด้วยกับการหมกมุ่น ในกามสุข คือ กาม สุขัลลิกานุโยค และพระองค์ทรงปฏเสธการดำเนินชีวิตแบบ อัตตกิลมถานุโยก คือ การทรมานตนเองให้ลำบากด้วยวิธีต่างๆ
  • และทรงแสดงหลักธรรมอริยสัจ 4 เป็นธรรมะสุดท้าย แก่โกณฑัญญะ เมื่อทรงแสดงธรรมจบ โกณฑัญญะ ได้เกิด ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม และมีความเข้าใจสภาพอันเป็นจริงของทุกสิ่งทั้งปวง 
  • ว่าสิ่งใด ล้วนมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และสิ่งทั้งหมดนั้น มีความดับเป็นธรรมดาท้ายสุดโกณฑัญญะได้ทูลขอ อุปสมบท นับว่าเป็นการบวชครั้งแรกในพระพุทธศาสนา และโกณฑัญญะ เป็นพระภิกษุองค์แรกในพระพุทธศาสนา การบวชครั้งแรกที่เกิดขึ้นเรียกว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงเป็นผู้บวชให้ และภิกษุโกณฑัญญะก็ได้นามใหม่ว่า อัญญาโกณฑัญญะ เป็นปฐมสาวก




การประกาศศาสนา

  • การประกาศและเผยแพร่ศาสนา ดำเนินการต่อมาเป็นเวลา 45 ปี โดยมีกำลังสำคัญในการประกาศพระพุทธศาสนาก็คือ พระสารีย์บุตร อัครสาวกเบื่องขวา และพระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้าย
  • เมื่อพระชนมายได้ 80 พรรษา พระพุทธองค์ได้ไปประทับจำพรรณาที่บ้านเวฬุคาม กรุงเวสาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชี และในวันเพ็ญ เดือน 3 ก็ได้ทรงปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ กรุงเวสาลี เป็นการแสดงธรรมตรัสเตือนพระภิกษุทั้งหลายว่า อีก 3 เดือนจากนี้ไปพระองค์จะปรินิพาน ดังนั้นภิกษุจะต้องตั้งมั่น อยู่ในความไม่ประมาท และหลังจากนั้นพระพุทธองก็ยังคงสั่งสอนประชาชนเรื่อยมา


  • จนกระทั่งมาประทับอยู่ ณ. อัมพวัน สวนมะม่วงของนายจุนทะ พระองค์ทรงรับ ปัจฉิมบิณฑบาตร ( รับบิณบาตรครั้งสุดท้าย ) โดยนายจุนทะเป็นผู้ ถวายสุกรมัทวะ และพระองค์ได้เกิดอาพาธในเวลาต่อมาจึงเดินทางไปยัง กุสินารา และก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้ตรัสยกย่องว่า


บิณฑบาตรที่มีอานิสงส์ อย่างยิ่งมีอยู่ 2 ประการคือ
  1. บิณฑบาตรที่เสวยแล้วตรัสรู้ ได้แก่ การถวายข้าวปายาส ของนางสุชาดา
  2. บิณฑบาตรที่เสวยแล้วดับขันธ์ปรินิพพาน  ได้แก่ การถวายสุกรมัททวะ ของนายจุนทะ
  • พระองค์ทรงแสดงปัจฉิมโอวาท แก่พระสาวก เรียกว่า อัปมาทธรรม ซึ่งเป็นโอวาทครั้งสุดท้าย มีความหมายว่า ขอท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด

  • พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในวันเพ็ญเดือน 6 ที่เมือง กุสินารา หรือเมือง กาเซียนในปัจจุบัน
  • และการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ที่ มกุฎพันธรเจดีย์ ทางทิศตะวันออกของเมืองกุสินารา ในวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 เรียกวันดังกล่าวว่า วันอัฏฐมีบูชา





คัมภีร์ของพระพุทธศาสนา

คัมภีร์ของพระพุทธศาสนา เรียกว่าพระไตรปิฎก ซึ่งมีทั้งหมด 3 ปิฎก ( 3 เล่มคัมภีร์ ) คือ

  1. พระวินัยปิฎก เป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องระเบียบของพระสงฆ์และภิกษุณี
  2. พระสุตตันตปิฎก เป็นคัมภีร์ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่วไป
  3. พระอภิธัมมปิฎก เป็นคัมภีร์ว่าด้วยข้อธรรมะหรือหลักธรรมที่สำคัญ


นิกายในศาสนาพุทธ

  • นิกายเถรวาท หรือ หินยาน เป็นนิกายดั้งเดิมที่ภิกษุในอินเดียในภาคกลางและภาคใต้ ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 1 ที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพานไปแล้ว 3 เดือน โดยมี พระมหา กัสสปเถระ เป็นประธาน กายสังคายนาครั้งนี้ ไม่อนุญาตให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยใดๆ และให้รักษาสิกขาบททั้งหมดไว้ตามเดิม 
นิกาย เถรวาทนี้บางทีก็เรียกว่า ทักษิณนิกาย หรือ นิกายฝ่ายใต้ ประเทศที่นับถือนิกายเถรวาทนี้ได้แก่ ไทย พม่า เขมร ลาว และศรีลังกา

  • นิกายอาจริยวาท หรือ มหายาน เป็นนิกายที่แตกออกไป โดยยึดหลักธรรมตามแนวคิด และการตีความขึ้นมาใหม่ตามความเชื่อของอาจารย์ของตน หรือเรียกว่านิกายฝ่ายเหนือ นิกายนี้ เผยแพร่ในอินเดียทางเหนือ จีน ญี่ปุ่น เวียตนาม ทิเบต เกาหลี มองโกเลีย เป็นต้น โดยนิกายนี้ได้ดัดแปลง พระธรรมวินัยตามกาลเทศะ



หลักธรรมคำสอนของศาสนาพุทธ

อริยสัจ 4 ได้แก่


ความจริงอันประเสริฐ  4 ประการที่มีอยู่แล้วและพระพุทธเจ้าทรงค้นพบและได้นำมาสั่งสอนประชาชนซึ่งทำให้ผู้ปฏิบัติพ้นจากความเป็นทุกข์ อันประกอบไปด้วย

1.  ทุกข์ หมายถึงความไม่สบายกายไม่สบายใจที่ทำให้เกิดปัญหาแก่การดำเนินชีวิตแบ่งได้ดังนี้ 
  • สภาวทุกข์-หมายถึงทุกข์ประจำ คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ในพระพุทธศาสนาถือว่า มนุษย์เริ่มแก่ตั้งแรกเกิด คือเริ่มแก่ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ลืมตาดูโลกเพียง หนึ่งวันตราบวันสิ้นลมหายใจ                            
  •      ปกิณณกทุกข์ - หมายถึงทุกข์จร เป็นความทุกข์เล็กๆน้อยๆ มี 8 อย่าง ดังนี้ ความเศร้าโศก ความคร่ำครวญ ความน้อยใจ ความตรอมใจ ความไม่สบายใจ ความไม่สบายกาย การประสบกับสิ่งที่ไม่รัก

การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความไม่สมปรารถนา

2.สมุทัย คือ สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ หรือเป็นสาเหตุแห่งปัญหาชีวิต หมายถึงตัณหา หรือความอยาก ซึ่งมี 3 ลักษณะดังนี้
  • กามตัณหา คือ ความอยากในกาม (กามในพุทธศาสนาหมายถึงความใคร่ ) แบ่งออกเป็นอีก 2 อย่างคือ กิเลสกาม และวัตถุกาม
กิเลสกาม เป็นกิเลสที่ละเอียดฝังอยู่ในจิตใจ คือ รู้สึกชอบ ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ นับเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับปุถุชน เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี เพียงแต่มนุษย์ต้องรู้จักควบคุมจิตใจ อย่าให้เกิดความโลภ ริษยา หึงหวง เพราะจำนำไปสู่การทำบาปได้ในที่สุด

วัตถุกาม คือ ความอยากในวัตถุ สิ่งของ เมื่อไม่ได้ก็เสียใจ มนุษย์มักจะแย่งชิงล่วงล้ำสิทธิส่วนตัวของกันและกัน และเบียดเบียนกันในที่สุด
  • ภาวะตัณหา หมายถึง ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น และเมื่อได้ในสิ่งที่อยากนั้น แต่ก็ไม่เพียงพอ ยังอยากให้สิ่งเหล่านั้นอยู่กับตนเองไปนานๆอีกด้วย เช่น เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ สรรเสริญ เป็นต้น
  • วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น เช่นไม่พอใจในสภาพที่เป็นปัจจุบันของตนเอง อาทิ ไม่พอใจในรูปร่างหน้าตา  อยากขจัดไปให้พ้น ซึ่งไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาแต่เป็นการหนีปัญหา แต่เป็นการขว้างปัญหาออกไม่พ้นตัว
3. นิโรธ มีความหมายเช่นเดียวกับนิพพาน อันเป็นผลมาจากการปฏิบัติตามมรรคมี องค์ 8 หมายถึงการดับทุกข์ เป็นภาวะที่กิเลสตัณหาดับสนิท หมดปัญหา ไร้สิ้นเชิง

4. มรรค มีองค์ 8 เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ปัญหาหมดไป เปรียบได้กับแบบฝึกหัดในชีวิตประจำวันของมนุษย์ มีอยู่ 8 ประการดังนี้
  • สัมมาทิฐิ ( ความเห็นชอบ ) ได้แก่ การมีความเห็นที่ถูกต้อง เช่นยอมรับในเรื่องบาป บุญกรรมดี กรรมชั่ว ชาตินี้และชาติหน้า ในระดับที่ละเอียดอ่อนขึ้นไปอีก คือเข้าใจใน หลักอริยสัจ 4
  • สัมมาสังกัปปะ ( ดำริชอบ ) ได่แก่ การคิดเพื่อที่จะให้จิตใจของตนเองเป้นอิสระ จาก กาม ไม่ตกเป็นทาสของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จนเกินไป ไม่คิดพยาบาท และเบียดเบียนผู้อื่น
  • สัมมาวาจา  ( วาจาชอบ ) การเว้นจากวจีทุจริต 4 คือเว้นจากการพูดเท็จ ( มุสาวาจา ) เว้นจากการพูดส่อเสียด ( ปิสุณาวาจา )  เว้นจากการพูดคำหยาบ ( ผรุสวาจา ) เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ  ( สัมผัสปลาปวาจา )
  • สัมมากัมมันตะ  ( การกระทำชอบ ) ได้แก่ การงดเว้นจากการทุจริต 3 คือ การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ประพฤติผิดในกาม
  • สัมมาอาชีวะ ( การเลี้ยงชีพชอบ ) ได้แก่  การประกอบอาชีพที่ไม่ผิดศีลธรรม การไม่เบียดเบียนผู้อื่น การไม่อยู่เฉยๆโดยไร้ประโยชน์ ต้องเป็นผู้ที่รู้จักประกอบอาชีพ
  • สัมมาวายามะ ( ความเพียรชอบ ) ได้แก่การเพียรละบาปบำเพ็ญบุญ เพียรระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้น เพียรขจัดความชั่วที่ได้เกิดขึ้นแล้ว เพียรสร้างความดีให้เกิดขึ้น เพียรรักษาความคิดดีที่มีอยู่แล้วให้คงอยู่ตลอดไป
  • สัมมาสติ ( ระลึกชอบ )  ได้แก่  การกำหนดรู้ พฤติกรรมของจิต ระลึกรู้ได้ตลอดเวลาว่าตนเอง กำลังคิดอะไร ทำอะไร ไม่เป็นคนใจลอยเหม่อ ไม่ประมาท มีความรอบคอบ
  • สัมมาสมาธิ ( ตั้งใจชอบ ) ได้แก่ การตั้งมั่นในจิต มีจิตใจที่มั่นคง ควบคุมอารมณ์ได้ จนสามารถบังคับจิตใจ ให้หยุดนิ่งอยู่กับอารมณ์อย่างเดียวได้


ปิดวิทยุที่ข้างบล็อกแล้วเปิดฟังบทสวดธรรมจักกัปปวัตนสูตร






ไตรลักษณ์

หลักไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณะ ซึ่งเป็นลักษณะ 3 อย่างโดยธรรมชาติของสิ่งทั้งปวง อนิจจตา ทุกขตา อนัตตา ( อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา )

  1. อนิจจตาคือ ความไม่เที่ยง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่มีสิ่งใดที่เป็นสิ่งยั่งยืนถาวร ภาวะที่มีการเกิดขึ้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ และเสื่อมสลายไปในที่สุด เช่นผิวหนังที่เต่งตึง ก็ เหี่ยวย่น ฟันหลุด พละกำลัง ลาภยศ ชื่อเสียง  หรือ บ้านเรือน ภูเขา หินผา แม่น้ำ ย่อมเสื่อมสภาพ และสลายไปในที่สุด เป็นต้น
  2. ทุกขตา คือ การที่สิ่งต่างๆ ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ พระพุทธศาสนาถือว่า สิ่งใด ที่ไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ซึ่งความหมายในไตรลักษณ์ ทุกข์จะกว้างกว่า อริยสัจ 4 กล่าวคือ ทุกข์ในอริยสัจ 4 หมายถึง ทกข์กายทุกข์ใจเท่านั้น แต่ทุกข์ในไตรลักษณ์ หมายความรวมถึงทกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น และไม่สามารถ ดำรงสภาพของตัวเองต่อไปได้ หรือ อยู่ในสภาวะเดิมได้ ต้องเสื่อสลายเปลี่ยนแปรไป คือทุกข์ ตามหลักไตรลักษณ์ นี้
  3. อนัตตา คือ ความไม่มีตัวตน พุทธศาสนาสอนวา ทุกสิ่งไม่ใช่ตัวตน จึงสอนไม่ให้ยึดมั่นในความเป็นตัวตน  ร่างกายไม่ใช่ของเรา เพราะเราบังคับบัญชามันไม่ให้ แก่ เจ็บ ตาย ไม่ได้ เราไม่สามารถบังคับไม่ให้ร่างกาย หิวได้  ร่างกายเป็นระบบการรวมตัวกันทำงานของอวัยวะ และมีจิตครอบครองอยู่เท่านั้น ไม่มีใครในโลกนี้เป็นเจ้าของร่างกายได้อย่างแท้จริงหรือถาวรได้ เมื่อถึงเวลาทุกคนย่อมต้องจากร่างกายนี้ไปหมดทั้งสิ้น เป็นต้น

ไตรสิกขา

คือหลักศึกษาที่อาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้ไปสู่ผลสำเร็จ ได้แก่

  1. ศีล คือข้อปฏิบัติ ฝึกตนด้านความประพฤติทางกายและวาจา
  2. สมาธิ คือข้อปฏิบัติเพื่อฝึกจิต เพื่อให้เกิดสมาธิ
  3. ปัญญา  คือ ข้อปฏิบัติฝึกปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้ง

พรหมวิหาร 4 


พรหมวิหาร วิหาร แปลว่า ที่อยู่ พรหม แปลว่า ประเสริฐ คำว่า พรหมวิหาร หมายความว่า เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐ หรือเอาใจไปขังไว้ในความดีที่สุด ซึ่งมีคุณธรรม 4 ประการ คือ

1.เมตตา  คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข

2.กรุณา  คือ  ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
3. มุทิตา คือ ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
4. อุเบกขา คือ การรู้จักวางเฉย วางใจเป็นกลาง พิจารณาเห็นว่าใครทำดีย่อมได้ดีใครทำชั่วย่อมได้ชั่ว เป็นไปตามกฎแห่งกรรมหรือการกระทำนั้น
  





โลกบาลธรรม

โลกบาลธรรมได้แก่ ธรรมที่คุ้มครองโลก 2 ประการ ดังนี้


  1.  หิริ หมายถึง ความละอายใจต่อการทำบาปหรือทำชั่ว
  2. โอตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาปหรือความชั่ว และเกรงกลัวต่อผลของการกระทำชั่วนั้น
กุศลบท 10

กุสลบท 10 หมายถึง ทางแห่งความดี 10 ประการ เป็นธรรมที่ทำให้คนเป็นคนดี แบ่งออกเป็น 3 ทางดังนี้

1.การกระทำชอบทางกายมี 3 ประการได้แก่
  • เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
  • เว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ให้
  • เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
2. การกระทำที่ชอบทางวาจา มี 4 ประการดังนี้
  • เว้นจากการพูดเท็จ
  • เว้นจากการพูดส่อเสียดยุยงคนให้แตกแยกสามัคคี
  • เว้นจากการพูดคำหยาบ
  • เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อไร้สาระ
3.การกระทำที่ชอบทางใจ มี 3 ประการดังนี้
  • ไม่คิดอยากได้ของผู้อื่นโดยวิธีทุจริต
  • ไม่พยาบาทจองเวรและคิดร้ายผู้อื่น
  • ไม่คิดเรื่องทุจริต ให้คิดแต่เรื่องถูกทำนองคลองธรรม



บุญกิริยาวัตถุ 10

บุญกิริยาวัตถุ 10หมายถึง หลักธรรมแห่งการทำบุญ ทานแห่งการทำความดี มี 10 ประการดังนี้

  1. ทานมัย คือบุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
  2. ศีลมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
  3. ภาวนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
  4. อปจายนมัย คือบุญสำเร็จด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
  5. เวยยาวัจจนมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลือ ขวนขวายในกิจการงาน
  6. ปัตติทานมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ
  7. ปัตตานุโมทนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ
  8. ธัมมัสสวนมัย คือ บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
  9. ธัมมัสเทสนามัย คือ บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม
  10. ทิฎฐุขุกัมม์  คือ บุญสำเร็จด้วยการกระทำความคิดเห็นของตนให้ตรง

ฆารวาสธรรม 4

ฆารวาสธรรม 4 หมายถึงธรรมของผู้ครองเรือน พึงปฏิบัติมี 4 ประการดังนี้
  1. สัจจะ  คือความซื่อสัตย์ต่อกัน
  2. ทมะ   คือการรู้จักข่มใจตนเอง
  3. ขันติ คือ ความอดทนและให้อภัย
  4. จาคะ  คือ การเสียสละแบ่งปันของของตนให้แก่ผู้ที่ควรแบ่งปัน

อธิษฐานธรรม 4

อธิษฐานธรรม 4 หมายถึง ธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ มี 4 ประการดังนี้
  1. สัจจะ คือความซื่อสัตย์
  2. ปัญญา คือ ความรอบรู้
  3. จาคะ คือความเสียสละแบ่งปัน
  4. อุปสมะ  คือ ความสงบในจิตใจ
อิทธิบาท 4

อิทธิบาท 4 หมายถึง ธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จในการทำงาน มี 4 ประการ ดังนี้
  1. ฉันทะ  คือ ความพอใจในงานที่ทำ
  2. วิริยะ  คือ ความเพียร ความมีมานะ ไม่ย่อท้อต่อการทำงาน
  3. จิตตะ  คือ ความเอาใจใส่ ตั้งใจทำงานอย่างสม่ำเสมอ
  4. วิมังสา คือ การพิจารณาไตร่ตรอง หาเหตุผล แก้ไขข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงงานให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น
>>> วันสำคัญในพระพุทธศาสนา >>>

กังวาล ทองเนตร ถวายเป็นพุทธบูชา







ปิดวิทยุที่ด้านข้างบล็อก ก่อนเปิดฟังสวดมนต์ต้นฉบับจากอินเดีย