หน้าเว็บ

กลับหน้าแรกล่าสุด

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

กำเนิดศาสนาพราหมณ์-ฮินดู


พระตรีมูรติหรือเทพเจ้าทั้ง 3 องค์


ศาสนาพราหมณ์ หรือ ฮินดู
ความเป็นมาของศาสนา

  • พราหมณ์เป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลก กำเนิดขึ้นในประเทศ อินเดีย
  • ผู้ก่อตั้งศาสนาพราหมณ์ เป็นพวก อารยัน หรืออริยกะ
  • ชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของอินคือ ชาว ดราวินเดียน หรือฑราวิธ หรือ ทัสยุ หรือ มิลักขะ ซึ่งอาศัยตั้งรกรากอยู่ที่ลุ่มน้ำสินธุ
  • โดยชาวพื้นเมืองเดิมของอินเดียมีความเชื่อในเรื่อง วิญญาณ และนิยมบูชา ธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
  • รวมไปถึงต้นไม้ ภูเขา ท้องฟ้า โดยมีความเชื่อว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะแฝงเร้นตัวอยู่ในสิ่งที่พวกตนเองนับถือ
  • และในเวลาต่อมาได้ยกย่องวิญญาณเหล่านั้นให้เป็นเทพเจ้า 


  • การบูชาเทพเจ้า จะมีกองไฟ สิ่งของที่นำมาบูชาจะประกอบไปด้วย นม  เนย เนื้อสัตว์ โดยจะใส่สิ่งเหล่านี้เข้าไปในกองไฟ เพราะเชื่อว่า ไฟคือสื่อกลางระหว่าง เทพเจ้า กับ มนุษย์



  • ต่อมาเมื่อพวก อารยัน ได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ลุ่มน้ำสินธุตอนบน ซึ่งพวกอารยันจะมีความเชื่อในเรื่องความลี้ลับ นับถือ เทวดา และมีการบูชาพระอาทิตย์



  • เมื่อความเชื่อชนเผ่าพื้นเมืองเดิม และชาว อารยันผู้มาใหม่สามารถผสมผสานกันได้
  • ในที่สุดชนเผ่าอารยันก็ได้ก่อตั้งศาสนาของตนขึ้นเป็นศาสนาประจำชาติ เรียกว่า ศาสนาพราหมณ์ มีคัมภีร์พระเวท เป็นคัมภีร์ทางศาสนา มีผู้ประกอบพิธีกรรม เรียกว่า พราหมณ์



การแบ่งยุคของศาสนาพราหมณ์


  • ดร.ราธกฤษณัน นักปราชญ์ชาวอินเดียได้แบ่งศาสนาพราหมณ์ออกเป็น 3 ยุคปรากฎในงานเขียนของเขาในหนังสือชื่อ Indian  Philosophy ดังนี้



  1. ยุคพระเวท ( Vedic Period ) เริ่มตั้งแต่มีคัมภีร์พระเวทเกิดขึ้น มีระยะเวลาประมาณ 1,000 ปี จนถึง 100 ปีก่อนพุทธกาล
  2. ยุคมหากาพย์ ( Epic Period )  เริ่มสมัย 10 ปี ก่อนพุทธกาลจนถึง พุทธศักราช 700 โดยประมาณ ในยุคนี้มีมหากาพย์ เกิดขึ้น 2 เรื่อง คือ รามายณะ ( รามเกียรติ์ ) และมหาภารต เป็นยุคเดียวกับที่พุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้วและกำลังมีความรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก และเป้นคู่แข่งกับศาสนาพราหมณ์ในยุคนี้
  3. ยุคระบบทั้ง 6 ( Period of the six Systems ) ยุคนี้เป็นยุคที่ศาสนาพราหมณ์มีการพัฒนามาเป็นฮินดู และได้เกิดปรัชญาของชาวฮินดู ทั้ง 6 ระบบขึ้นคือ
  • ลัทธิสางขยะ
  • ลัทธิโยคะ
  • ลัทธิวิเศษษิกะ
  • ลัทธินยายะ
  • ลัทธิมีมางสา
  • ลัทธิเวทานาตะ

  • โดยทั้ง 6 ลัทธิเกิดมาจากพื้นฐานทางคัมภีร์เดียวกันคือคัมภีร์ อุปนิษัท

เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์

ในตอนต้นชาวอารยันแบ่งเทพเจ้าที่ตนเองนับถือออกเป็น 3 กลุ่มคือ
  1. เทพเจ้าบนพื้นโลก
  2. เทพเจ้าบนอากาศ
  3. เทพเจ้าบนสวรรค์
โดยในแต่ละกลุ่มจะมีเทพอยู่ 11 องค์ รวมเป็น 33 องค์ การนับถือเทพหลายองค์เรียกว่า พหุเทวนิยม ( Polytheism ) 
ต่อมาชาวอารยันได้ยกย่องเทพ 3 องค์ขึ้นมาเป็นพิเศษจากจำนวนน 33 องค์คือ
  1. พระอินทร์
  2. พระวิรุณ
  3. พระอัคนี
  • และช่วงปลายของยุคพระเวท ได้มีพัฒนาการพิเศษขึ้นโดยได้ยกย่องเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลให้เป็นเทพเจ้าสูงสุด คือ พระพรหม หรือ พรหมัน หรืออีกชื่อซึ่งเป็นชื่อแต่เดิม คือ ปชาบดี

  • พระพรหม หรือ พรหมัน ถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นเทพผู้สร้างสรรพสิ่่งทั้งหลาย ในยุคนี้ ศาสนาพราหมณ์ มีการนับถือเทพเพียงองค์เดียว เรียกว่า เอกเทวนิยม ( Mono theism )
  • ในยุคนี้นี่เองสังคมอินเดียก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมขึ้นครั้งใหญ่ เกิดระบบวรรณะขึ้น 4 วรรณะในสังคมอินเดีย ได้แก่
  1. วรรณะกษัตริย์
  2. วรรณะพราหมณ์
  3. วรรณะแพศย์
  4. วรรณะศูทร
ภายหลังเกิดระบบชนชั้นขึ้นศาสนาพราหมณ์ก็ได้ ก็ได้กลับมานับถือเทพหลายองค์อีกครั้งโดยนับถือเทพเจ้า 3 องค์หรือ พระตรีมูรติ ( อ่านว่า ตรี มู-ระ-ติ ) คือ
  • พระพรหม เชื่อว่า เป็นผู้สร้างโลกและทุกสรรพสิ่ง
  • พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ เป็นเทพผู้รักษาคุ้มครองโลก
  • พระอิศวรหรือพระศิวะ เป็นเทพเจ้าสูงสุด และเป็นเทพผู้ทำลายโลก เมื่อเห็นว่าควรทำลาย
ในสมัยที่พราหมณ์ได้นับถือเทพ 3 องค์หรือพระตรีมูรติ เป็นยุคที่ศาสนาพราหมณ์ ได้พัฒนาการมาเป็นศาสนา ฮินดู

  • ดังนั้นศาสนาพราหมณ์จึงเป็นรากฐานของศาสนา ฮินดู หรือ ฮินดู เกิดมาจากวิวัฒนาการของศาสนาพราหมณ์นั่นเอง โดยเริ่มมีพัฒนามาตั้งแต่ พ.ศ.800 มีลักษณะเป็นเทวนิยม
  • เชื่อว่าทุกสรรพสิ่งมาจาก พรหมัน หรือ ปรมาตมัน มีความเชื่อว่า วิญญาณจะไม่ดับสูญ และจะเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบสิ้น โดยเชื่อว่าการที่จะบรรลุ และหลุดพ้นได้ ต้องมีการปฏิบัติตามโยคะ ทำจิตให้เป็นสมาธิ แสวงหาความรู้ รู้แจ้งในสัจธรรม และไปสู่ความหลุดพ้น เรียกว่า บรรลุโมกษะ เป็นปลายทาง

คัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์- ฮินดู

  • เรียกว่าคัมภีร์พระเวท ประกอบด้วย 4 คัมภีร์ดังนี้
  1. ฤคเวท เป็นคัมภีร์แห่งความรอบรู้ในบทสวดมนต์สรรเสริญเทพเจ้า
  2. ยชุรเวท เป็นคัมภีร์รวมบทร้อยกรองใช้ในพิธีกรรม บูชายัญ
  3. สามเวท เป็นคัมภีร์รวมบทสวดมนต์สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆของประชาชนดดยทั่วไป
  4. อาถรรพเวท เป็นคัมภีร์เวทมนต์ คาถา
นิกายในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมี 3 นิกายดังนี้
  1. นิกายพรหม นับถือพระพรหมเป็นเทพเจ้าสูงสุด ถือเป็นนิกายที่เก่าแก่ที่สุดในศาสนาพราหมณ์
  2. นิกายไวษณพ  นิกายนี้นับถือ พระวิษณุเป็นเทพเจ้าสูงสุด เกิดขึ้นประมาณ พ.ศ.1367-1467 เชื่อเรืองพระวิษณุอวตารลงมาปราบ ยคุเข็ญ
  3. นิกายไศวะ นิกายนี้นับถือ พระศิวะ หรือพระอิศวรเป็นใหญ่ มีสัญลักษณ์พิเศษคือ ศิวะลึงค์ หรืออวัยวะเพศชาย เป็นสัญลักษณ์แห่งนิกาย 




พระพรหม


หลักธรรมของศาสนาพราหมณ์ -ฮินดู

หลักธรรม 10 ประการได้แก่
  1. ธฤติ         ได้แก่     ความมั่นคง ความกล้าหาญ ความสุข ความพากเพียร และพอใจในสิ่งที่ตนเองมี
  2. กษมา      ได้แก่      ความอดทน อดกลั้น
  3. ทมะ        ได้แก่       การข่มใจ การระงับจิตใจ
  4. อัสเตยะ   ได้แก่    การไม่ลักขโมย
  5. เศาจะ      ได้แก่    การทำตนให้บริสุทธิ์ทั้งใจกาย
  6. อิทรีนิครหะ   ได้แก่  การระงับอินทรีทั้ง 10  ได้แก่ประสาทรับความรู้สึกทั้ง 5 คือ หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง และประสาทรู้สึกทางการกระทำ คือ มือ เท้า ทวารหนัก ทวารเบา ลำคอ
  7. ธี     ได้แก่ สติ ปัญญา
  8. วิทยา    ได้แก่  ปรัชญา ความรู้
  9. สัตยะ  ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความสุจริต  ความจริง
  10. อโกธะ   ได้แก่ ความมีขันติ ความไม่โกรธ

หลักอาศรม 4
  • หมายถึงขั้นตอนของชีวิตหรือแนวทางปฏิบัติเพื่อยกระดับชีวิตให้สูงขึ้น 4 ประการดังนี้
  1. พรหมจารี  เป็นขั้นตอนของเด็กชายตระกูลพราหมณ์ทุกคน จะต้องรับการคล้องด้ายศักดิ์สิทธิ์จากอาจารย์ เรียกพิธีนี้ว่า  ยัชโญปวีต  เมื่อได้รับการคล้องด้ายแล้วถือเป็นการประกาศตนเป็นพรหมจารี ถือว่าเป็นพราหมณ์ โดยสมบูรณ์ จะต้องศึกษาในสำนักของอาจารย์จนสำเร็จการศึกษา
  2. คฤหัสถ์  เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว จะกลับบ้านเรือนของตนเพื่อแต่งงานและมีบุตร หรือผู้ครองเรือน
  3. วานปรัสถ์  คือช่วงที่พราหมณ์จะต้องปฏิบัติตนเพื่อสังคมและประเทศ เมื่อมีความครัวมั่นคงเป็นหลักเป็นฐานแล้ว รวมทั้งบุตรได้ออกเรือน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พราหมณ์ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะออกป่า เพื่อแสวงหาความวิเวก ฝึกจิตตนเอง ซึ่งอาจจะทำเป็นครั้งคราวแล้วกลับสู่เรือนก็ได้
  4. สันยาสี   เป็นช่วงเวลาที่พราหมณ์ จะกรำทำเพื่อเพื่อนมนุษยชาติทั้งปวง เป็นช่วงของการสละชีวิตของคฤหัสถ์ หรือ ชีวิตครองเรือนเพื่อเข้าป่าออกบวช แสวงหาเป้าหมายสูงสุดของชีวิตคือการบรรลุ โมกษะ  


หลักปุรุษารถะ หรือจุดมุ่งหมายของชีวิต

  • ธรรม   หมายถึง หลักศีลธรรมในสังคม เพื่อให้สังคมอยู่อย่างสันติ
  • กาม   หมายถึง  การหาความสุขทางโลก ให้ดำเนินไปในแนวทางแห่งธรรมซึ่งส่งผลให้ตนเองมีสุขและสังคมก็มีสุขด้วย
  • อรรถ เป็นการสร้างฐานะหรือแสวงหาทรัพย์โดยยึดแนวทางของธรรมเป็นหลัก
  • โมกษะ เป็นความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายการเกิด เป็นอิสรภาพของวิญญาณ หลุดพ้นจากสังสารวัฏ เป็นอุดมคติสูงสุดของชีวิต และเป็นความสุขนิรันดร
หลักปรมาตมันและโมกษะประกอบไปด้วย

  • ปรมาตมัน    เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง  เป็นดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ หรือทุกสิ่งเกิดจากปรมาตมัน ปรมาตมัน เป็นอมตะ ไม่มีเพศ ไม่มีเบื้องต้น ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสันติสุขในตัวเอง เป็นปฐมแห่งวิญญาณทั้งปวง และเป็นบ่อเกิดของ อาตมัน
  • อาตมัน    เป็นดวงวิญญาณของปรมาตมัน
  • โมกษะ  เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต หรือการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ การที่วิญญาณย่อย หรือ อาตมัน จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับปรมาตมันได้นั้นจะต้องเข้าถึง โมกษะ โดยวิธีที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้นั้นคือ มรรค 4 ได้แก่
  1. กรรมมรรค คือ การละกรรมซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่าตายเกิดและให้กระทำกรรมที่เป็นเหตุจะให้เราเข้าถึงการหลุดพ้น
  2. ชญานมรรค  คือ วิธีแห่งการหลุดพ้นด้วยการรู้แจ้งในบรมสัตย์
  3. ภักติมรรค   คือ วิธีแห่งการหลุดพ้นด้วยการภักดีองค์พระผู้เป็นเจ้า
  4. ราชมรรค     คือ  วิธีแห่งการหลุดพ้นด้วยการฝึกฝนทางจิต
( มรรค 4 ในศาสนาพราหมณ์ เป็นคนละหลักธรรมกับ มรรค มี องค์ 8 ของศาสนาพุทธ )

หลักทรรศนะ 6

  • หลักทรรศนะ 6 เป็นหลักธรรมและการปฏิบัติที่เป็นการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ทำให้ความเป็นพราหมณ์ กลายมาเป็นฮินดูคือ ลัทธิทั้ง 6 ที่กล่าวมาแล้วแต่เบื้องต้นั่นเอง

  • ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไม่มีศาสดา ของศาสนา แต่จะนับถือ เทพเจ้าสูงสุดของตน ตามแต่ละนิกายทั้งสาม ให้เป็นเทพสูงสุด แทน

                                                                          กังวาล  ทองเนตร


พระวิษณุหรือพระนารายณ์



พระอิศวรหรือพระศิวะ

พระอิศวรหรือพระศิวะ


มีเว็บมีบล็อกแล้วสมัครเป็นพันธมิตรโดยการติดโฆษณา-ข่าว
เพื่อสร้างรายได้กับ Yengo ได้ที่ลิงนี้ >> คลิกสมัครที่นี่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น