หน้าเว็บ

กลับหน้าแรกล่าสุด

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กลอนนิราศสุนทรภู่กวีสี่แผ่นดินทั้งหมด





เพลงเดี่ยวพญาโศก


นิราศเมืองแกลง ขึ้นต้นไว้ดังนี้

                                                                  โอ้สังเวชวาสนานิจจาเอ๋ย
จะมีคู่มิได้อยู่ประคองเชย                      ต้องละเลยดวงใจไว้ไกลตา
ถึงทุกข์ใครในโลกที่โศกเศร้า               ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา
จะพลัดพรากจากไกลไม่ทันลา             ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน
โอ้จำใจไกลนุชสุดสวาส                         จึงนิราศเรื่องรักเป็นอักษร
ให้เห็นอกตกยากเมื่อจากจร                  ไปดงดอนแดนป่าพนาวัล

จะสังเกตุเห็นว่าท่านสุนทรภู่ยังอาลัยอาวรณ์หญิงคนรัก ซึ่งก็คือจันนั่นเองที่ท่านแอบลอบได้เสียกันจนกระทั่งท่านติดคุกและพ้นโทษแล้วท่านจึงได้ไปปฏิบัติภาระกิจที่บางปลาสร้อย ( ชลบุรีปัจจุบัน) และถือโอกาสนี้ไปติดตามหาพ่อที่เมืองแกลง โดยตั้งใจจะไปบวชกับพ่อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้บวชเพราะป่วยเสียก่อน

นิราศเมืองแกลงนี้เป็นการเขียนบอกเล่าเรื่องราวระหว่างเดินทางของท่านว่าไปพบปะเจอะเจออะไรบ้างแล้วแทรกความรู้สึกในใจลึกของท่านเข้าไป ว่าไปแล้ว ก็เหมือนกับ สารคดีท่องเที่ยวสมัยนี้นั้นเองเพียงแต่ท่านใช้ความเป็นศิลปินบอกเล่าเรื่องราว

นิสัยเจ้าชู้และเสน่ห์ของนักเลงกลอนอย่างสุนทรภู่ก็ไม่เบา ดูจากกลอนของท่านตอนหนึ่งในนิราศเมืองแกลงตอนที่ท่านไม่สบายมีหญิงสาวสองนางมาคอยปรนนิบัติพัดวีให้ ซึ่งเทียบศักดิ์ก็เหมือนหลานสาว ที่มาหลงรักท่านจนเกิดหึงหวงแตกคอกันเองจนท่านตัดปัญหาด้วยการกลับกรุงเทพ

ทุกเช้าเย็นเห็นแต่หลานที่บ้านกร่ำ         ม่วงกับคำกลอยจิตขนิษฐา
เห็นเจ็บปวดนวดฟั้นช่วยฝนยา              ตามประสาซื่อตรงเป็นวงศ์วาน
ครั้นหายเจ็บเก็บดอกไม้มาให้บ้าง          กลับระคางเคืองข้องกันสองหลาน
จะว่ากล่าวน้าวโน้มประโลมลาน            ไม่สมานสโมสรเหมือนก่อนมา
ก็จนจิตคิดเห็นว่าเป็นเคราะห์                  จึงจำเพาะหึงหวงพวงบุบผา
  ต้องคร่ำครวญรวนอยู่ดูเอกา                  ก็เลยลาบิตุรงค์ทั้งวงศ์วาน

นิราศพระบาทขึ้นต้นเริ่มเรื่องว่า

                                                                          แสนอาลัยใจหายไม่วายห่วง
ดังศรศักดิ์ปักซ้ำระกำทรวง                           เสียดายดวงจันทราพะงางาม
เจ้าคุ้มแค้นแสนโกรธพิโรธพี่                         แต่เดือนยี่จนย่างเข้าเดือนสาม
จนพระหน่อสุริยวงศ์ทรงพระนาม                 จากอารามแรมร้างทางกันดาร
ด้วยเรียมรองมุลิกาเป็นข้าบาท                     จำนิราศร้างนุชสุดสงสาร
ตามเสด็จโดยแดนแสนกันดาร                      นมัสการรอยบาทพระศาสดา
วันจะจรจากน้องสิบสองค่ำ                            พอจวนย่ำรุ่งเร่งออกจากท่า
รำลึกถึงดวงจันทร์ครรไลลา                          พี่ตั้งตาแลแต่ตามแพราย
ที่ประเทศเขตเคยได้เห็นเจ้า                           ก็แลเปล่าเปลี่ยวไปน่าใจหาย
แสนสลดให้ระทดระทวยกาย                         ไม่เหือดหาย ห่วงหวงเป็นครัน 

ผมขออธิบายตรงนี้นิดนึงครับ คำว่าเรียมในบทกลอนนั้นหมายถึงสุนทรภู่ เรียมเป็นคำเรียกตัวเองของผู้ชายสมัยก่อน ดังนั้นถ้าเราเห็นคำว่าเรียมปรากฎในกลอนสมัยก่อนให้เข้าใจให้ตรงกันครับว่าเป็นคำสรรพนามแทนตัวของผู้ชาย

จากการเริ่มต้นเรื่องนิราศพระบาทนี้ จะเห็นได้ว่าสุนทรภู่ยังมีใจรักมั่นอาลัยอาวรณ์หา จัน หญิงคนรักคนแรกของท่านอยู่และปรากฎใจความลักษณะนี้ในงานของท่านแทบทุกเรื่องที่รำพันถึงจัน แม้ภายหลังท่านจะได้ภรรยาใหม่ทั้งนิ่มและม่วงแล้วก็ตามแต่กลับปรากฎว่าท่านยังระลึกถึงแต่นางจันคนนี้อยู่เพียงนางเดียว

นิราศภูเขาทองขึ้นต้นว่า

                                                                     เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระวสา
รับกฐินภิญโญโมทนา                               ชุลีลาลงเรือเหลืออาลัย
ออกจากวัดทัศนาดูอาวาส                       เมื่อตรุษสารทพระวสาได้อาศัย
สามฤดูอยู่ดีไม่มีภัย                                  มาจำไกลอารามเมื่อยามเย็น
โอ้โอวาทราชบูรณะพระวิหาร                  แต่นี้นานนับทิวาจะมาเห็น
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น                 เพราะขุกเข็ญคนพาลมารานทาง
จะหยิบยกธิบดีเป็นที่ตั้ง                             ก็ใช้ถังแทนสัดเห็นขัดขวาง
จึงจำลาอาวาสนิราศร้าง                           มาอ้างว้างวิญญาในสาคร


นิราศเรื่องนี้ท่านเขียนขณะเป็นพระจำวัดอยู่วัดราชบูรณะและท่านได้เขียนถึงที่ท่านได้ตกระกำลำบากต้องออกจากวัดราชบูรณะ และท่านยังอาลัยอาวรณ์ถึงผู้ชุบเลี้ยงท่านให้อยู่ดีมีสุขก็คือพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 และท่านเขียนความในใจของท่านไว้อีกตอนว่า

ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด                       คิดถึงบาทบพิตรอดิศร
โอ้ผ่าเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร              แต่ปางก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น
พระนิพพานปานประหนึ่งศรีษะขาด         ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็ญ
ทั้งโรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น                       ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา
จะสร้างพรตอุตสาห์ส่งบุญถวาย                ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา
เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา                          ขอเป็นข้าเคียงบาททุกชาติไป


ราตรีประดับดาว



นิราศเมืองเพชรขึ้นต้นเรื่องว่า



                                                                                  โอ้รอนรอนอ่อนแสงสุริย์ฉาย
ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างหล่นพร่างพราย                      พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน
อนาถหนาวคราวมาอาสาเสด็จ                              ไปเมืองเพชรบุรินทร์ถิ่นสถาน
ลงนาวาหน้าวัดนมัสการ                                          อธิษฐานถึงคุณกรุณา
ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศ                            ถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา
จึงจดหมายรายทางกลางคงคา                             แต่นาวาเลี้ยวล่องเข้าคลองน้อย

สุทรภู่ออกเดินทางจากท่าหน้าวัดอรุณ ไปตามคลองบางกอกใหญ่คลองบางลำเจียกคลองขวาง คลองมหาชัย  ออกปากคลองมหาชัยสู่แม่น้ำท่าจีน แล้วเข้าคลองสามสิบสองคด คลองสุนัขหอน ออกลำน้ำแม่กลองตรงไปปากอ่าว เลาะชายฝั่งปากอ่าวไปปากคลองโคน ปากคลองช่องข้ามอ่าวยี่สาร เข้าคลองตะบูน จนไปถึงเมืองเพชร  เส้นทางทั้งหมดท่านสาธยายไว้ในนิราศเมืองเพชรทั้งหมด เช่นไปถึงหมู่บ้านหนึ่งท่านบรรยายบรรกาศไว้ดังนี้

ครั้นไปเยือนเรือนหลานบ้านวัดเกาะ       ยังทวงเพลาะแพรดำที่ทำหาย
ต้องใช้สีทับทิมจึงยิ้มพราย                     วิลาสลายลอยทองสนองคุณ
แล้วไปบ้านตาลเรียงเคียงบ้านไร่            ที่นับในน้องเนื้อช่วยเกื้อหนุน
พอวันนัดซัดน้ำเขาทำบุญ                        เห็นคนวุ่นหยุดยั้งยืนรั้งรอ
เขาว่าน้องของเราเป็นเจ้าสาว                  ไม่รู้ราวเรื่องเร่อมาเจอหอ
เหมือนจุดไต้ว่ายน้ำมาตำตอ                    เสียแรงถ่อกายมาก็อาภัพ


นิราศวัดเจ้าฟ้า เป็นเรื่องที่ท่านอยากให้คนคิดว่า บุตรชายท่าน คือ พัดเป็นผู้แต่ง โดยเริ่มเรื่องว่า


                                                                       เณรหนูพัดหัดประดิษฐ์คิดอักษร
เป็นเรื่องความตามติดท่านบิดร                 กำจัดจรจากนิเวศน์เชตุพน
พอออกเรือเมื่อตะวันสายัณห์ย่ำ                ละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวหล่าวเมื่อคราวจน       ไม่มีคนเกื้อหนุนกรุณา
โอ้ธานีศรีอยุธมนุษย์แน่น                           นับโกฎิแสนสาวแกแซ่ภาษา
จะหารักสักคนพอปนยา                             ไม่เห็นหน้านึกสะอื้นฟื้นฤทัย
เสียแรงพี่มีป้าหม่อมน้าสาว                        ล้วนขาวขาวคำหวานน้ำตาลใส
มายามยืดจืดเปรี๊ยวไปเจียวใจ                   เหลืออาลัยลมปากจะจากจร

การที่ท่านมาวัดเจ้าฟ้าอากาศคราวนี้มาเพื่อหาเหล็กไหล และยาอายุวัฒนะ ตามที่ท่านได้ลายแทงมาจากทางเหนือ ปัจจุบันวัดเจ้าฟ้าอากาศ ก็คือ วัดเขาดิน อยู่ที่ ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดอยุธยานั่นเอง  ความตอนหนึ่งที่บรรยายไว้เกี่ยวกับการไปวัดเจ้าฟ้าอากาศครั้งนี้ว่า

ที่ธุระปรอทเป็นปลอดเปล่า             ยังดูเลาลายแทงแสวงถวิล
ท่านนอนอ่านลานใหญ่ฉันได้ยิน        ว่ายากินรูปงามอร่ามเรือง
แม้นฟันหักจักงอกผมหงอกหาย         แก่กลับกลายหนุ่มเนื้อนั้นเรื่องเหลือง
ตะวันออกบอกแจ้งเป็นแขวงเมือง          ท่านจัดเครื่องครบครันทั้งจันทน์จวง

นิราศอิเหนา ขึ้นต้นเรื่องดังนี้

                                                                         นิราศร้างห่างเหเสน่หา
ปางอิเหนาเศร้าสุดถึงบุษบา                         พระพายพาพัดน้องเที่ยวล่องลอย
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าให้เหงาหงิม           สุชลปริ่มเปี่ยมเหยาะเผาะเผาะผอย
โอ้เย็นย่ำน้ำค้างลงพร่างพร้อย                   น้องจะลอยลมบนไปหนใด
หรือเทวัญชั้นฟ้ามาพาน้อง                          ไปไว้ห้องช่องสวรรค์ที่ชั้นไหน
แม้นแน่งน้อยลอยถึงชั้นตรึงษ์ไตร               สหัสนัยจะช่วยรับประคับประคอง


นิราศสุพรรณ นิราศเรื่องนี้ท่านเขียนขึ้นจากที่คนปรามาสท่านว่าสุนทรภู่เขียนได้แต่กลอนแปด ท่านจึงแสดงให้เห็นว่าท่านได้ทั้งโคลงสี่สุภาพ และกาพย์  ท่านขึ้นต้นด้วยโคลงสี่สุภาพว่า

  เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า           ดาดาว
จรูญจรัสรัศมีพราว                 พร่างพร้อย
ยามดึกนึกหนาวหนาว           เขนยแนบ  แอบเอย
เย็นฉ่ำน้ำค้างย้อย                 เยือกฟ้าพาหนาว

รำพันพิราป ขึ้นต้นดังนี้

                                                                         สุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตรฝัน
เพิ่งพบเห็นเป็นวิบัติมหัศจรรย์                     จึงจดวันเวลาด้วยอาวรณ์
แต่งไว้เหมือนเตือนใจจะได้คิด                    ในนิมิตรเมื่อภวังค์วิสังหรณ์
เดือนแปดวันจันทวาเวลานอน                      เจริญพรภาวนาตามบาลี
ระลึกคุณบุญบวชตรวจกสิณ                        ให้สุดสิ้นดินฟ้าทุกราศี
เงียบสงัดวัดวาในราตรี                                  เสียงเปรตผีหวีหวีดจิ้งหรีดเรียง  
หริ่งหริ่งเรื่อยเฉื่อยชื่นสะอื้นอก                      สำเนียงนกแสกแถกแสกแสกเสียง
เสียงแมงมุมอุ้มไข่มาใต้เตียง                        ตีอกเพียงผึ่งผึ่งตะลึงฟัง
ฝ่ายเสียงหนูมูสิกกิกกิกร้อง                            เสียวสยองยามยินถวิลหวัง
อนึ่งผึ้งซึ่งมาทำประจำรัง                               ริมบานบังบินร้องสยองเย็น

นิราศพระประธม ขึ้นต้นว่า

                                                                             ถวิลวันจันทร์ทิวาขึ้นห้าค่ำ
ลงนาวาคลาเคลื่อนออกเลื่อนลำ                      พอฆ้องย่ำยามสองกลองประโคม
น้ำค้างย้อยพร้อยพรมเป็นลมว่าว                   อนาถหนาวนึกถึงได้เชยโฉม
มาสูญเหมือนเดือนดับพยับโพยม                   ให้ทุกข์โทมนัสในฤทัยครวญ
โอ้หน้าหนาวคราวนี้เป็นที่สุด                            จะจากนุชแนบข้างไปห่างหวน
นิราศร้างห่างเหให้เรรวน                                   มิได้ชวนเจ้าไปชมประธมประโทน
ที่ปลูกรักจักได้ชื่นทุกคืนค่ำ                              ก็เตี้ยต่ำตายฝอยกรองกรอยโกร๋น
ที่ชื่นเชยเคยรักเหมือนหลักประโคน                ก็หักโค่นขาดสูญประยูรวงศ์

                                ( พระประธมก็คือองค์พระปฐมเจดีย์จังหวัดนครปฐมปัจจุบัน )
                                



จะสังเกตุเห็นว่า ท่านจะขึ้นต้นงานเขียนของท่านด้วยวรรคโทก่อนเสมอ โดยเว้นวรรคเอกเอาไว้
ดังที่เห็นในตัวอย่างและอีกหลายเรื่องท่านก็เริ่มด้วยวรรคโท
                                      
กังวาล  ทองเนตร  เรียบเรียง













                                    คลิกดูประวัติและผลงานสุนทรภู่ที่นี่







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น