อภิปรัชญาคืออะไร
อภิปรัชญา( Metaphysics ) คือศาสตร์สาขาใหญ่สาขาหนึ่ง ในวิชาปรัชญา ซึ่งศาสตร์สาขาใหญ่ในวิชาปรัชญาจะมีอยู่ 3 สาขาด้วยกัน ซึ่งอภิปรัชญาก็เป็นหนึ่งใน 3 สาขานั้น คือ
- ญาณวิทยา หรือทฤษฏีแห่งความรู้ ( Epistemology )
- อภิปรัชญา หรือ ภววิทยา ( Metaphysics )
- คุณวิทยา หรือทฤษฏีว่าด้วยคุณค่า และอุดมการณ์อดุมคติ ( Axiology ) ซึ่งคุณวิทยานี้ก็มีสาขาย่อยของตัวเองแตกแยกออกไปอีกหลายสาขาเช่นกัน ดังนี้
- ตรรกวิทยา หมายถึง การแสวงหาความจริงสูงสุด
- จริยศาสตร์ หมายถึง การแสวงหาความดีสูงสุด
- สุนทรียศาสตร์ หมายถึง การแสวงหาความงามสูงสุด
- เทววิทยา หมายถึง การแสวงหาความบริสุทธิ์สูงสุด
อภิปรัชญานั้น เรียกอีกอย่างว่า ปรัชญาบริสุทธิ์ หมายถึง เป็นเนื้อหาของวิชาปรัชญาแท้ๆหรือปรัชญาสมัยโบราณนั่นเอง โดยไม่ผ่านการประยุกต์ แต่งเติม ศาสตร์ใหม่เข้ามาผสมแต่อย่างใด โดยยังคงหลักการหลักความเชื่อเดิมๆแต่โบราณ จึงเรียกว่า ปรัชญาบริสุทธิ์
อภิปรัชญา แบ่งได้เป็น 4 ความหมาย คือ
- อภิปรัชญา หมายถึง ความรู้อันประเสริฐ
- อภิปรัชญา หมายถึง ความรู้ขั้นปรมัตถ์
- ความหมายที่สามมาจากภาษากรีกคือคำว่า Meta ta physika หมายถึง หลังหรือเบื้องหลัง หรือล่วงเลย
- ความหมายที่สี่มาจากภาษากรีก -ลาติน และอังกฤษ แต่นักภาษาศาสตร์ของไทยปรับเข้าเป็นบาลีว่า อตินทรีย์วิทยา หมายถึงวิชาที่ล่วงเลย
ความจริงในขั้นอภิปรัชญาหรือขั้นปรมัตถ์ แบ่งออกเป็น 3 ขั้นด้วยกันคือ
- ความจริงขั้นสมมุติ
- ความจริงตามสภาพ
- ความจริงขั้นปรมัตถ์
ตัวอย่างเช่น ของเหลวชนิดหนึ่งที่สามารถใช้อาบ ดื่ม กินได้ เราเรียกกันต่อๆมาว่า น้ำ
ดังนั้นคำว่าน้ำจึงเป็นความจริงขั้นสมมุติ คือน้ำเป็นความจริง มีอยู่จริง เราใช้ อาบดื่มกิน ได้จริง แต่เราไม่สามารถล่วงรู้ความจริงในขั้นที่ลึกซึ้งหรือสูงกว่านี้ได้
ดังนั้นน้ำจึงเป็นความจริงในขั้นสมมุติ
ต่อมาเมื่อวิทยาการก้าวหน้า มีนักวิทยาศาสตร์ทำการแยกแยะน้ำออกได้ว่า แท้จริงแล้วที่เราเรียกว่าน้ำนั้น มันเป็นเพียงสารประกอบทางเคมี ที่ประกอบด้วย สารไฮโดรเจน 2ส่วน และสารออกซิเจนอีกชนิด
เมื่อนำสารประกอบทางเคมีสองสิ่งนี้มารวมตัวกันในอัตราส่วนดังกล่าว มันจึงเกิดเป็นของเหลวที่เราเรียกว่าน้ำนี้ได้ โดยดุษฏี
ซึ่งความรู้ขั้นนี้จึงจัดเป็นความรู้ขั้น ความจริงตามสภาพ หรือตามสภาวะ ซึ่งเป็นขั้นที่สอง เป็นความจริงที่เกิดขึ้นอยู่แล้วตามสภาพของมัน แต่เรามาค้นพบความรู้หรือความจริงขั้นนี้นั่นเอง
- และเมื่อเรารู้ขั้นความจริงตามสภาพแล้ว เรานำความรู้นั้นมาเป็นฐานศึกษาวิเคราะห์แยกแยะต่อออกไปอีก โดยนำอะตอมของไฮโดรเจน และอะตอมของ ออกซิเจน มาแยกย่อยลงไปอีก ก็จะค้นพบว่า มันมี
- อิเลคตรอน (พลังานไฟฟ้าศักย์เป็นลบ )
- โปรตอน (พลังงานไฟฟ้ามีศักย์ทางไฟฟ้าเป็นบวก )
- นิวตรอน ( พลังงานไฟฟ้าที่มีศักย์ทางไฟฟ้าเป็นกลาง ) รวมอยู่ในนั้น
ซึ่ง อิเลคตรอน โปรตอน และนิวตรอน จึงเป็นอานุภาคที่เล็กกว่า อะตอม หรือปรมาณู ลงไปอีก ดังนั้น สภาพของน้ำ ที่เป็นความจริงสมมุติ จึงหายไป ด้วยการเกิดขึ้นของ ความรู้หรือความจริงตามสภาพ และความจริงตามสภาพ ก็จะหายไป เมื่อความจริงขั้นอภิปรัชญา หรือ ความจริงปรมัตถ์ปรากฎขึ้น เช่นกัน
ความจริงขั้นปรมัตถ์ หรือความจริงขั้นสุดท้ายนี้ ในทางปรัชญาเรียกอีกอย่างว่า อินติมะสัจจะ ( Ultimate Reality )
ซึ่งความจริงขั้น อภิปรัชญาหรือ ปรมัตถ์นั้น และอตินทรีย์วิทยานั้น นักปรัชญาตะวันตกแบ่งออกเป็น 2 อย่างด้วยกันคือ
- สิ่งที่ปรากฎ ( Appearance )
- สิ่งที่เป็นจริง ( Reality )
หลักก็คือ
สิ่งทั้งหมดที่ปรากฎต่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 นั้น เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎเท่านั้น ยังไม่ถือว่าเป็นความจริง สิ่งต่างๆนั้นจะต้องมีสัจจะภาวะซ่อนอยู่เบื้องหลังเสมอ
ดังนั้นกล่าวโดยสรุปก็คือ
อภิปรัชญา จึงเป็น การค้นหาความจริง ขั้นสุดท้าย หรือความจริงอันสูงสุด หรือความจริงอันประเสริฐนั่นเอง ซึ่ง อภิปรัชญา เอง ก็เป็นเพียงศาสตร์สาขาหลักสาขาหนึ่ง ใน 3 สาขา ของวิชาปรัชญา และอภิปรัชญา ยังเป็นปรัชญาที่บริสุทธิ์ ที่คงหลักการดั้งเดิม ไม่ผ่าการ เติมแต่ง ศาสตร์ใหม่ เข้าไปประยุกต์อยู่ในหลักการนั้นแต่อย่างใด
กังวาล ทองเนตร รัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ขอบคุณข้อมูลจากท่านอาจารย์ วิธาน สุชีวคุปต์ ภาควิชาปรัชญา คณะมนุษย์ศาสตร์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นอย่าสูง