tag:blogger.com,1999:blog-69918060961936411252024-03-14T09:37:41.090+07:00Pohthai blogspot.com เพาะไทยบล็อกสป็อต.คอม เป็นบล็อกส่วนตัวที่ใช้แสดงและเผยแพร่ผลงานของผู้เขียน ไม่ว่าจะเป็น ความรู้ทางรัฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง วรรณกรรม ศิลปะอื่นๆ เป็นแหล่งเพาะเมล็ดพันธุ์ไทยให้เติบใหญ่อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ เป็นลิขสิทธิ์เด็ดขาดเพียงผู้เดียวห้ามคัดลอกตัดตอนดัดแปลงเนื้อหาเพียงบางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน และ ขอต้อนรับ มวลมิตร ทุกๆท่าน ขอบคุณที่ติดตามและแวะมาเยี่ยมชม
( กังวาล ทองเนตร )Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.comBlogger375125tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-31587389306184649712021-09-24T11:40:00.005+07:002021-09-24T11:40:34.188+07:00กระดานทิกเกอร์ไม่ได้มีแต่หุ้นสามัญอย่างเดียว<p style="text-align: center;"> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-wGHCICC5mOU/YU1WEJsTzvI/AAAAAAAAOpA/yflart_173gFGvSJEEAN6jwkNZVO6CvSwCNcBGAsYHQ/s1915/bandicam%2B2021-09-22%2B13-04-17-546.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="732" data-original-width="1915" height="244" src="https://1.bp.blogspot.com/-wGHCICC5mOU/YU1WEJsTzvI/AAAAAAAAOpA/yflart_173gFGvSJEEAN6jwkNZVO6CvSwCNcBGAsYHQ/w640-h244/bandicam%2B2021-09-22%2B13-04-17-546.png" width="640" /></a></div><br /><p></p><p><span style="background-color: #fcff01;"><b>ที่เห็นบนกระดานหุ้นตามรูปที่ผมนำมาให้ดูนี่ มันคืออนุพันธุ์ทั้งสิ้น บอกแล้วว่าอนุพันธุ์ จะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ แยกย่อย ซอยถี่ออกมายิบย่อยหลายชนิด</b></span></p><p><b><span style="color: #2b00fe;">ในรูปนี้เป็นกลุ่ม DW ที่อ้างอิงดัชนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น ตลาดหุ้น หั่งเส็ง ตลาด ดาวโจนส์ S&P เวียตนาม และแนสแด็ก เป็นต้น </span></b></p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>DW ก็เหมือนอนุพันธุ์ตัวอื่นๆที่ไม่มีมูลค่าโดยตัวมันเอง มันจะมีราคาตามตัวผลิตภัณฑ์ที่มันเกาะอยู่ แต่มันจะอ้างอิงดัชนีปริมาณการซื้อขายเท่านั้น ไม่สนมูลค่าการตลาด</li><li>กลุ่มDW ผู้ออกผลิตภัณฑ์นี้คือ โบรกเกอร์ คุณว่าโบรกเกอร์มันคือใคร มันคือพอร์ทลงทุนแข่งกับเราพอร์ทหนึ่งในตลาด ดังนั้นก่อนมันจะออก ผลิตภัณฑ์ใด มันทำวิจัย ทิศทางมาเป็นอย่างดีแล้วว่ามันไม่แพ้เราแน่ มันจึงออกมาขายให้เรา</li><li>ส่วนกลุ่ม TFEX จะออกโดยตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอนุพันธุ์แต่ละกลุ่มจะมีความเสี่ยงสูงมาก เช่นเดียวกับโอกาสก็สูงมากเช่นกัน 50/50 ถูกก็เปลี่ยนเป็น 100 พลาดก็กลายเป็น 0 เป็น 0 จริงๆผมยืนยัน จะไม่เหมือนหุ้น อย่างน้อยก็เหลือใบหุ้นติดมือไว้ แต่อนุพันธุ์พลาดคือหมดตัวเลย</li></ul><p></p><p><u><b><span style="color: red;">แต่ละกลุ่มแต่ละชนิดนอกจากเงื่อนไขไม่เหมือนกันแล้ว การเทรดก็ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อสิ ทั้งหมดนี้ ขึ้นกระดานทิกเกอร์กองรวมที่เดียวกัน คลิกซื้อมั่วๆสั่วๆฉิบหายได้</span></b></u></p><div><br /></div>Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-9195013663266907522021-09-24T11:35:00.000+07:002021-09-24T11:35:01.312+07:00ดัชนีของตลาดหุ้นบอกอะไรได้บ้าง<p style="text-align: center;"> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-RLLO4-eO0Ko/YU1S9SNCacI/AAAAAAAAOow/s8YXjw0Lsh0o7kuVR-PhwP7hqlzcQu08gCNcBGAsYHQ/s1278/bandicam%2B2021-09-23%2B12-28-44-156.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="732" data-original-width="1278" height="366" src="https://1.bp.blogspot.com/-RLLO4-eO0Ko/YU1S9SNCacI/AAAAAAAAOow/s8YXjw0Lsh0o7kuVR-PhwP7hqlzcQu08gCNcBGAsYHQ/w640-h366/bandicam%2B2021-09-23%2B12-28-44-156.png" width="640" /></a></div><br /><p></p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>SET INDEX มันคือเป้าเล็งในการที่เราจะตัดสินใจเทรดแต่ละครั้งเท่านั้น ไม่ใช่สาระหลัก แต่เราต้อง นำมันมาพิจารณาร่วมด้วย ก่อนการออกคำสั่ง แม้ไม่ใช่สารหลัก แต่มันคือจุดอ้างอิง มันบอกแนวโน้มได้ เพียงแต่ ข้อมูลเราต้องดีมากพอ เพราะการเล็งเป้าที่ set index เพียงอย่างเดียวจะโดนขาใหญ่แหกตาได้</li></ul><p></p><p><br /></p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>บางทีทิศทางตลาดกำลังเป็นขาขึ้น แต่ถูกขาให้สร้างมายาภาพให้น่ากลัว เทหุ้นออกมา เพื่อบีบรายย่อย มอบตัวคืนของให้มัน</li><li>บางทีเป็นเทรนด์ขาลง ก็รายใหญ่อีกเช่นกัน กระชากตลาดขึ้น จนเม่าเชื่อแล้ววิ่งตาม</li></ul><p></p><p><br /></p><p><u><b><span style="color: #cc0000;">ทำไมขาใหญ่จึงกำหนดทิศทางตลาดได้ขนาดนั้น</span></b></u></p><p>ก็เพราะทุนในมือที่เขามีมหาศาล เทใส่หุ้นกลุ่มไหนกลุ่มนั้นก็ขึ้น ทิ้งกลุ่มไหนกลุ่มนั้นก็ร่วง และมันจึงส่งผลต่อ ดัชนีของตลาด ที่จะบวก หรือ ลบ โดยตรง</p><p>ผมจึงพูดอยู่เสมอว่า ในตลาดหุ้นมันมีมากกว่าหุ้น ในกระดาน ticker มันคือภาพมายา ใน bid -offer มันล้วนหลอกทั้งสิ้น</p><p>นี่ไม่ต้องพูดถึงพวกเทรดหุ้นโดยใช้กราฟ สัญญาณเทคนิค บ้าบอ หลอกคนยังหลอกได้ กะอีแค่หลอกกราฟมันจะยากอะไร ใครดูกราฟ นับเวฟ จ้องวอลุ่ม มึงเจ๊งทุกราย ก็เพราะขาใหญ่มันรู้ว่า แมงเม่าหลายล้านคน นั่งเฝ้า นั่งจ้องตรงนี้ทั้งนั้น</p><p>มันจะเอาหุ้น จะเอาเงินจากเม่า มันก็ทำให้เม่าเห็น ให้เข้าเบ้าตาแมงเม่าเต็มๆ และก็ได้ผลทุกครั้ง</p><p>ถ้าเราเข้าใจปรัชญาการลงทุน เข้าใจว่าหุ้นคืออะไร ผลิตภัณฑ์ทางการเงินแต่ละประเภทมีอะไรบ้าง มีเงื่อนไขการเทรดอย่างไร กลไกตลาดมีอะไรบ้าง ข้อกำหนดต่างๆ มาตรการควบคุมการซื้อขาย เครื่องหมายหรือป้ายสัญญาณเตือนต่างๆที่ กลต.ยกชูขึ้นมาแต่ละป้ายคืออะไร ถ้าเราถอดรหัสสัญญาณนั้นไม่ได้ ก็จอด</p><p>ผมพูดเสมอว่าเราซื้อหุ้น ไม่ได้ซื้อตลาด ดังนั้น น้ำหนักการตัดสินใจจึงเอียงข้างไปที่ข้อมูลของหุ้น ไม่ใช่ข้อมูลตลาด แต่ตลาด หรือ ดัชนี มีไว้เล็งและก่อนยิงดูให้ดีว่า เป้าจริงเป้าหลอก</p><p>ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ จึงเป็นของจริง เราต้องรวบรวม ดาต้า หรือข้อมูลดิบ มาคัดแยก แบ่งกองแบ่งกลุ่ม ให้เป็น สารสนเทศ ให้ได้ก่อน จากนั้น นำสารสนเทศที่ได้ มาสังเคาะห์ให้เป็นความรู้ แล้วจึงนำความรู้ไปใช้ในการตัดสินใจ ซื้อ หรือ ขาย</p><p>การเทรดหุ้นแต่ละคำสั่ง มิได้ใช้เงินหลักร้อยบาท แต่เป็นเงินหลายหมื่น หลายแสน หลายล้าน หลายสิบล้าน ในการ ซื้อ จึงต้องคิดวิเคราะห์ให้ครบทุกมิติ เสียก่อน อย่าให้ อีโลภ อีหลง ถือธงนำ ไม่เช่นนั้น ตลาดหุ้นก็คือ หลุมฝังศพ</p><p><br /></p>Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-74702147774630396692021-09-24T11:34:00.000+07:002021-09-24T11:34:24.507+07:00การทำคิวอี QE มีผลต่อตลาดหุ้นอย่างไร<p style="text-align: center;"> </p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-WcHGbhV53eI/YU1VK7lqemI/AAAAAAAAOo4/vi6K9AfgtY4OQetuNT-rrvt95zigsQfPQCNcBGAsYHQ/s731/bandicam%2B2021-04-01%2B11-38-47-113.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="731" data-original-width="622" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-WcHGbhV53eI/YU1VK7lqemI/AAAAAAAAOo4/vi6K9AfgtY4OQetuNT-rrvt95zigsQfPQCNcBGAsYHQ/w544-h640/bandicam%2B2021-04-01%2B11-38-47-113.png" width="544" /></a></div><br /><p></p><p>สำหรับนักลงทุน ไม่ว่าตลาดไหน จะตราสารหนี้ ตราสารทุน ก็ต้องให้จับตาการประชุมของเฟดให้ดี ในวันที่ 21-22 นี้ เพราะประเด็นหลักที่เฟดจะนำเข้าที่ประชุมและกระทบต่อตลาดคือ การลด QE</p><p></p><ul style="text-align: left;"><li><b><u><span style="color: #990000;"> ก่อนอื่น คุณต้องเข้าใจก่อนว่า QE หรือ Quantitative Easing คืออะไร</span></u></b> ผมจะอธิบายเป็นภาษาบ้านๆ ให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การทำ Quantitative Easing ( QE ) ก็คือ การอัดฉีดเม็ดเงิน หรือการเสริมสภาพคล่อง ด้วยการเติมเม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น การใช้เงินเข้าซื้อพันธบัตร ตราสารหนี้ต่างๆ ที่เป็นสินทรัพย์ เพื่อเสริมสภาพคล่องระบบ หรือแม้กระทั่ง พิมพ์เงิน หรือปั๊มเงินขึ้นมาเพิ่ม เพื่อการเดียวกันคือ อัดฉีดเข้าไปในระบบ รักษาสภาพคล่องระบบ ให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้</li></ul><p></p><p><b><span style="color: #990000;">ดังนั้นจะเห็นว่าการทำ QE ไม่ได้ทำในภาวะที่เศรษฐกิจดี แต่จะทำในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เมื่อเราเข้าใจเป็นเบื้องต้นดังนี้ เราก็จะพิจารณาได้ว่า การทำ QE กับการยกเลิก QE จะมีผลกระทบต่อ ตัวเลขทางเศรษฐกิจใดบ้าง</span></b></p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>เมื่อเราพิจารณา ตั้งแต่ไบเดนเข้ามาเป็นรัฐบาล แนวโน้มเศรษฐกิจอเมริกามีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นกว่าสมัย ทรัมป์มาก</li></ul><p></p><p><u><b><span style="color: red;">และการทำ QE รัฐบาลต้องแบกรับภาระทางการเงินสูงมาก </span></b></u></p><p></p><ul style="text-align: left;"><li> จึงมีระยะเวลากำหนด เป็นครั้งคราวไปเท่านั้น เมื่อรัฐบาลมองเห็นว่า ระบบเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวเองและเดินด้วยลำแข้งตัวเองได้ รัฐบาลก็จะยกเลิกมาตรการนี้เสีย</li><li>แนวโน้มที่เฟดจะลดการทำคิวอีลง ก็มีโอกาสเกิดขึ้นสูง ใช้คำว่า ลด ไม่ได้ใช้คำว่าเลิก คือยังคงประคองๆกันไปก่อนสักระยะรอดูอาการ</li><li>เมื่อแนวโน้มการลด คิวอีลง ก็หมายความว่า เงินที่เคยถูกนำไปซื้อพันธบัตรไว้จะถูกขายหรือไถ่ถอนออกมา ตลาดพันธบัตรซึ่งเป็นตลาดตราสารหนี้ มีความเสี่ยงต่ำ กว่าตลาดหุ้น ซึ่งเป็นตลาดทุน นักลงทุนที่เคยใส่ทุนไว้ในตลาดตราสารหนี้ ก็จะได้ผลตอบแทนต่ำตามไปด้วย เมื่อ มีการถอนทุนออกไป</li></ul><p></p><p>กรณีนี้ นักลงทุนจึงจะโยกทุน ออกจากตลาดตราสารหนี้ ไปใส่ตราสารทุนแทน เพื่อให้ตนเองมีระดับผลตอบแทนในระดับเดิมเป็นอย่างน้อยหรือสูงกว่า</p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>ส่วนตลาดทอง ราคาทองก็จะร่วงลงทันที ถ้าเราถือทอง ก็ต้องวัดใจว่า เฟดจะเอาไง เพราะถ้าเฟดลดคิวอี ทองร่วงกองพื้น เราอาจขายออกไม่ทัน ส่งผลพอร์ทลงทุนเราเสียหายได้ แต่ถ้าขายออกก่อน แต่ตัวเรายังติดดอยอยู่ ก็ยอมขาดทุน คุณก็ตัดสินใจเองว่าจะเอาอย่างไร</li><li>ส่วนตลาดหุ้น ซึ่งยืนตรงข้ามกับทอง และตราสารหนี้ทั้งหลาย เมื่อพันธบัตร กองทุนต่างๆให้ผลตอบแทนต่ำ ทุนจะถูกโยกออกมาเข้าตลาดหุ้นทั่วโลกแทน ตลาดหุ้นจะคึกคักขึ้นทันที รับ คิว 4</li></ul><p></p><p><u><b><span style="color: red;">สรุปคือ เฟดออกทางไหนมีคนได้คนเสียแน่นอน เราจะตัดสินใจยืนตรงจุดไหนก็ชั่งน้ำหนักใจตัวเองดู สำหรับผม เก็บหุ้น ดักไซแห้งรอพายุเข้า</span></b></u></p>Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-22066913744594281792021-09-24T11:08:00.003+07:002021-09-24T11:11:48.312+07:00ลัทธิคลั่ง<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-Q9KVhfHRnTk/YU1OsmzHFaI/AAAAAAAAOoo/XhMEBbOCupEzZdqovQfrS4bcfqukGs2iwCNcBGAsYHQ/s1024/1024px-Eastern_White-bearded_Wildebeest.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="768" data-original-width="1024" height="480" src="https://1.bp.blogspot.com/-Q9KVhfHRnTk/YU1OsmzHFaI/AAAAAAAAOoo/XhMEBbOCupEzZdqovQfrS4bcfqukGs2iwCNcBGAsYHQ/w640-h480/1024px-Eastern_White-bearded_Wildebeest.jpg" width="640" /></a></div><br /><div style="text-align: center;"><br /></div><br /><b><u><span style="color: #cc0000;"> พวกที่เป็น Constitutionalism ก็จะเหมือนพวกคลั่งคัมภีร์ทางศาสนานั่นล่ะ </span></u></b><div><br /></div><div><ul style="text-align: left;"><li>พวกนี้มิได้ศึกษาคัมภีร์เพื่อรู้แจ้งเห็นจริง หรือค้นหาความจริงในนั้น และนำมาย่อยมาแยกแยะ ถอดออกมาเป็นส่วนๆ เพื่อหาแก่นแท้ และคัดเอาแต่ของดีมาสอนกัน แต่คนพวกนี้จะกอดคัมภีร์แน่น เหมือนติดยาเสพติด ทำให้คนเห็นว่ากูเชี่ยวชาญคัมภีร์ กูรู้ กูจดจำได้ทุกอักษร จากนั้นก็ใช้คัมภีร์มาเป็นฐาน ยกตัวเองให้สูงกว่าคนอื่น ใช้คัมภีร์เป็นข้ออ้างในการกดขี่คนอื่น ใช้คัมภีร์เป็นบรรทัดฐานความดี ของตน</li></ul><br /><ul style="text-align: left;"><li>ใช้คัมภีร์สร้างฐานอำนาจ ใช้คัมภีร์ระดมคน ใช้คัมภีร์เป็นอาชีพ ใช้คัมภีร์เป็นขุมทรัพย์เป็นนากิน</li></ul>ถ้าใครมาแตะต้อง คือผิดคือเลว คือไม่ถูก คือนอกรีต คือไม่ดี ตามมาด้วยการลงโทษคนนั้น เพียงเพราะเขามีสิทธิค้นหาความจริง มีสิทธิที่จะปรับแก้สิ่งล้าหลังหลายพันปีให้ทันสมัยขึ้น แต่กลายเป็นคนเลว คนบาปของศาสนา ของการปกครอง จากการชี้นิ้วของไอ้คนกอดคัมภีร์ สุดท้ายต่างฝ่ายต่างยึดติดคัมภีร์ศาสนา ยึดคัมภีร์การเมืองสำนักตนเอง ว่าของกูดีกว่า ของมึงควรฉีกทิ้ง เผาไฟ ห่อไข่ เช็ดก้น ยั่วยุกันไปมา <br />สุดท้ายนำไปสู่สงคราม ฆ่าล้างกัน<br /><ul style="text-align: left;"><li>ดังนั้นพวกบ้าศาสนา จะเป็นคนเดียวกันกับพวกบ้าคัมภีร์ ติดยึดคัมภีร์</li></ul>เช่นเดียวกัน พวกบ้าการเมืองหรือคลั่งการเมือง ก็คือคนเดียวกันกับพวกติดยึดคัมภีร์การเมือง แข่งกันร่างแข่งกันเผาแข่งกันชี้หน้า<br />สุดท้ายท้ายสุด<br /><ul style="text-align: left;"><li>ทั้งบ้าศาสนา และบ้าการเมือง มันคือพวกที่ทำให้โลกไม่สงบสุข คือพวกก่อสงครามจุดไฟสงครามใส่โลกทุกหัวระแหง</li></ul><u><b><span style="color: red;">ทั้งหมดของพวกคลั่งนี้มีเป้าหมายเดียวกันคือ ผลประโยชน์ อำนาจ และ เงิน</span></b></u><br /><br /><br />ทั้งคัมภีร์การเมืองคัมภีร์ศาสนา คัมภีร์เศรษฐกิจ มีแก่นแท้อยู่ที่เดียวกันคือ ทำไมต้องมีคัมภีร์<br /><br /><ul style="text-align: left;"><li>ก็เพื่อให้เป็นแบบแผน นั่นคือเป้าหมายหลัก คือต้องการให้เป็นแบบแผนปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางที่ดีงาม ทางเจริญ</li><li>ดังนั้นข้อความตัวอักษร เป็นเพียงสิ่งที่ผู้สร้างคัมภีร์หรือทฤษฎี พยายามจะออกแบบให้คนเข้าใจได้ ประพฤติได้ เป็นไปได้ ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะไปตามทางนั้นได้</li><li>อักษรในทุกคัมภีร์จึงเกิดมาจากแนวคิด มันจึงสามารถแก้ไข ปรับเปลี่ยน ถกเถียง กันได้เสมอถ้าเห็นว่าไม่เข้ากับยุคสมัย</li></ul>แต่กรอบความคิดคือ อยากให้คนเป็นคนดี อยู่ร่วมกันโดยสงบสุข ต้องรักษาไว้ เพราะมันคือกรอบหลัก ส่วนเนื้อใน อยู่อย่างไร อยู่ที่ไหน แก้ไขดัดแปลงได้ ตามสภาพสังคมขณะนั้นๆ<br /><ul style="text-align: left;"><li>อย่าเป็นแค่บัณฑิตที่รู้แต่ทฤษฎี อ่านแค่หนังสือออก แต่ไม่สามารถถอดแยก ขี่ทฤษฎี สร้างทฤฎีใหม่ได้ ก็เป็นแค่บัณฑิตผู้รู้หนังสือ ไม่สามารถเป็นปราชญ์ได้</li></ul><br /><br /><br /><br /><a href="https://www.facebook.com/photo/?fbid=3261507977266370&set=a.1123516111065578&__cft__[0]=AZX5yOeTxFaIs40PfwE3m2EITqA4O2y5Bo7TSoOh-oK0XqtxsJXFJyB_nd-UKvutdFq2ymD4W7vNPK6UYf-AxIvLhJfc5b7uMFE7Br_D5Ujc_15xEYMBZ8FWRZX6CKMGtoM&__tn__=EH-R"><br /></a><p style="color: black;"><br /></p></div>Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-61094354586878040082021-09-24T11:04:00.004+07:002021-09-24T11:04:55.600+07:00การเงินการคลังต่างกันอย่างไร<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-ryDlDzdQ-tY/YU1NjLnd2CI/AAAAAAAAOog/EYTC52_ha2MdTp4D7PCLbSTBDJezVr6pwCNcBGAsYHQ/s660/money.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="590" data-original-width="660" height="572" src="https://1.bp.blogspot.com/-ryDlDzdQ-tY/YU1NjLnd2CI/AAAAAAAAOog/EYTC52_ha2MdTp4D7PCLbSTBDJezVr6pwCNcBGAsYHQ/w640-h572/money.jpg" width="640" /></a></div><br /><div style="text-align: center;"><br /></div><br /><u><b><span style="color: #660000;"> การเงิน กับการคลัง มันเป็นคนละอย่างกัน</span></b></u><div><ul style="text-align: left;"><li> ในฐานะที่จบรัฐศาสตร์สายปกครองมา เราจะได้เรียน นโยบายสาธารณะ การจัดทำนโยบายสาธารณะต่างๆมาจนแน่นหัว อธิบายนิดเดียวให้เห็นความต่าง</li></ul><span style="color: red;"><u><b>นโยบายการคลัง </b></u></span></div><div>กรอบมันอยู่ที่ การรับผิดชอบ ในการหารายได้เข้ารัฐเพื่อใช้จ่ายในการบริหารประเทศ การจัดทำงบประมาณต่างๆ เอาแค่นี้พอ<br />ส่วนนโยบายการเงิน จะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของธนาคารกลาง ของประเทศนั้นๆ ของไทยก็ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือเรียกติดปากว่าแบงค์ชาติ</div><div><br /><b><u><span style="color: #2b00fe;">นโยบายการเงิน </span></u></b></div><div>ก็จะตีกรอบว่าด้วยเรื่องการเงินล้วน เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา การดูแลรักษาสภาพเงินเฟ้อ เงินฝืด คืออะไรที่เกี่ยวกับเงิน กับกระแสเงิน ที่เงินมันหมุนเวียนในระบบ และมีปัญหาติดขัด สะดุด เป็นนโยบายการเงิน ซึ่งบริหารนโยบายนี้โดยแบงค์ชาติ<br /><ul style="text-align: left;"><li><span style="color: red;">สรุปง่ายๆคือ </span>การคลังมีหน้าที่หาเงินมากองไว้ ไม่ว่าจะทางไหนก็ตาม เช่นเก็บภาษี กู้ ยืม เงินบริจาค การลงทุน เป็นต้น แล้วได้เงินมากองไว้ ให้เป็นรายได้และรายจ่ายให้รัฐบาล</li></ul>จากนั้นการไหลของเงิน วิธีการใช้เงิน การควบคุมทิศทางเงินออกเงินเข้า อันนี้แบงค์ชาติดูแล เป็นนโยบายการเงิน แต่มันต้องสอดคล้องไปทิศทางเดียวกันนะครับ<br />อันนี้ความคิดเห็นผมเอง ผมพบว่าพักหลังมานี่ การเงินกับการคลังไม่ไปทางเดียวกัน ไม่สอดคล้องกัน ผลก็อย่างที่เห็นนี่แหละ</div><div><br /></div><div><u><span style="color: #990000;">กังวาล ทองเตร ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง</span></u></div><div><u><span style="color: #990000;"><br /></span></u></div><div><u><span style="color: #990000;"><br /></span></u></div>Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-54270510122149328552021-09-24T10:59:00.000+07:002021-09-24T10:59:28.171+07:00ลัทธิรัฐธรรมนูญ<br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-_nLFmehRImc/YU1MTti5IgI/AAAAAAAAOoY/gok6U-3SaCMYlD-BJ-r1DCWVUeJ1tuc_wCNcBGAsYHQ/s450/%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="360" data-original-width="450" height="512" src="https://1.bp.blogspot.com/-_nLFmehRImc/YU1MTti5IgI/AAAAAAAAOoY/gok6U-3SaCMYlD-BJ-r1DCWVUeJ1tuc_wCNcBGAsYHQ/w640-h512/%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2.jpg" width="640" /></a></div><br /><div style="text-align: center;"><br /></div><h2 style="text-align: left;"><b><u><span style="color: #990000;"> ต้นแบบประชาธิปไตยทั้ง3รูปแบบ เขามีรัฐธรรมนูญอย่างไร จะย่อยให้ฟังพอสังเขป</span></u></b></h2><br /><span style="color: red;"><b>1.อังกฤษ ต้นแบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา </b></span>ไม่มีรัฐธรรมนูญแม้ฉบับเดียว มีแค่เอกสารข้อตกลงสมัยพระเจ้าจอห์น คือแมกนาคาร์ตา และอังกฤษ เป็นต้นแบบ ของประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือระบบจารีต หรือระบบ common law ทั้งหมด<div><br /><b><span style="color: #990000;">2.อเมริกา ต้นแบบประชาธิปไตย รูปแบบประธานาธิบดี แบ่งแยกอำนาจ</span></b><div> มีรัฐธรรมนูญที่สั้นที่สุดในโลก คือมีแค่ 7 มาตรา 4,440 คำเท่านั้น ไม่เคยฉีกทิ้งตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ มีแค่การแก้ไข บางมาตราที่ล้าหลังไม่เข้ายุคสมัยเท่านั้น</div><div><br /><b><span style="color: #2b00fe;">3.ฝรั่งเศส แม่แบบประชาธิปไตยรูปแบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา</span></b><br />เริ่มจากการปฏิวัติฝรั่งเศส รัฐธรรมนูญฉบับแรกถูกเขียนขึ้นตามหลักกฎหมาย civil law แต่เพราะการเมืองการปกครองหลังปฏิวัติยังไม่นิ่ง คือเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองสลับกันไปมาอีกหลายรอบ ทั้งฟื้นฟูระบบกษัตริย์ ระบบจักรวรรดิ์ ระบบสาธารณรัฐ <br /><ul style="text-align: left;"><li>แม้แต่ระบบสาธารณรัฐเองก็มีหลายยุค มีสาธารณรัฐที่1ถึงที่5</li></ul>แต่ละยุคสมัยการปกครอง ก็จะมีรัฐธรรมนูญของตนเอง<br />ฉบับปัจจุบันใช้มาแต่ยุคสาธารณรัฐ สมัย ชาร์ล เดอ โกล เป็นประธานาธิบดี มีทั้งสิ้น 17หมวด 89มาตรา แก้ไขมาแล้ว 24ครั้ง แต่ไม่เคยฉีกทิ้งอีกเลย<br />เนื้อในก็เป็นการวางโครงสร้าง รูปแบบรัฐแบบกว้างๆ ที่มาของรัฐบาล ที่มาของประธานาธิบดี การเข้า-ออก อำนาจ วาระการดำรงตำแหน่ง<br />ที่มาของฝ่ายนิติบัญญัติ<br />จะไม่มีรายละเอียดหยุมหยิม<br />เพราะเขาจะวางไว้ในกฎหมายเฉพาะตัวอื่น<br /><ul style="text-align: left;"><li>นี่คือประเทศแม่แบบประชาธิปไตย ของโลก ยุคปัจจุบัน ทั้งหมด3รูปแบบ</li></ul>หรือใครจะย้อนไปยุคคลาสสิคนีโอ แบบนครรัฐ เอเธนส์ กรีกโบราณ จุดเริ่มต้นการก่อเกิดประชาธิปไตย ก็เอา แค่ต้องมีหลักยึด มีที่อ้างอิง มีการศึกษาข้อมูลให้ดี ไม่งั้นมันจะเป็นต้นแบบประชาธิปไตยแบบ ที่4 คือแบบ จับฉ่าย จับไรได้ ชอบกินไรก็โยนแม่งลงหม้อไป<br /><a href="https://www.facebook.com/photo/?fbid=3261464460604055&set=a.1123516111065578&__cft__[0]=AZVa_Ovzm5QmuLujo6wbxt87W7XAPSYSRiCdVkbxqFxfAfW5foRD9L88dy6ErMtk_hnZA7lquYuS5nPy0mhgbap6Nf5CHqJKBnD-0tZO6jTuHa4bIohKLuKiR4wgcsw9eY4&__tn__=EH-R"><br /><br /></a><br /><br /><br /><div style="text-align: center;"><br /></div><br /><br /></div></div>Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-36209606817488227302021-09-24T10:39:00.000+07:002021-09-24T10:39:17.844+07:00เปรียบเทียบที่มาวุฒิสภาของประเทศต้นแบบประชาธิปไตย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-uzrCu04lHpk/YU1IN40RXUI/AAAAAAAAOoQ/dthJ2ewC-7UfepRX8jMehWI5KWVEkL4ggCNcBGAsYHQ/s900/aristotle-image1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="600" data-original-width="900" height="426" src="https://1.bp.blogspot.com/-uzrCu04lHpk/YU1IN40RXUI/AAAAAAAAOoQ/dthJ2ewC-7UfepRX8jMehWI5KWVEkL4ggCNcBGAsYHQ/w640-h426/aristotle-image1.jpg" width="640" /></a></div><br /><div style="text-align: center;"><br /></div><ul style="text-align: left;"><li> ในประเทศที่เป็นแม่แบบหรือต้นแบบประชาธิปไตย วุฒิสภาของแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ผมจะให้ข้อมูล พอสังขป เพื่อให้เปรียบเทียบ เริ่มจาก</li></ul><u><span style="color: #990000;"><b>1.อังกฤษ จะมีสภาสูงที่ไม่เรียกว่าวุฒิสภาแต่เรียกว่าสภาขุนนาง House of Lord มีสมาชิกจำนวน 1200 คน </b></span></u><div>มาจากการสืบเชื้อสายและเป็นสมาชิกสภาติดต่อกันจนกว่าจะตาย และให้ทายาทสืบต่อได้อีก แต่หากประสงค์จะลงเล่นการเมืองก็ให้สละ ตำแหน่งนี้ทิ้งไป หมายถึงถ้าสละแล้วการสืบเชื้อสายจะหมดสิทธิทันที ดังนั้นพวกที่มาจากสืบเชื้อสายจึงไม่มายุ่งเกี่ยวการเมืองเพื่อรักษาสถานภาพฐานันดรขุนนางของตนเองไว้<br />สมาชิกอีกส่วนมาจากตัวแทนปรระเทศในเครือต่างๆทั้งเวลล์ สก๊อต (ไปหาอ่านที่มาได้ผมเขียนไว้หลายเว็บหลายที่ )<br />แต่โดยหลักการแล้วสภาขุนนางนี้จะไม่ทำงานหรือแทบจะไม่มีการเปิดประชุม ออกความเห็นทางการเมืองใดๆเลย จนได้รับฉายาว่าเป็นสภาที่มีสภาชิกมากที่สุดและขี้เกียจที่สุด<br /><b><u><span style="color: #660000;">2. อเมริกา จะมีวุฒิสภา เรียกชื่อว่า สภาซีเนท Senate</span></u></b> เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ที่ระบุให้วุฒิสภา เป็นตัวแทนแห่งรัฐ โดยมีตัวเลขสมาชิกสภาตายตัว คือรัฐละ 2 คน ไม่อิงกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง อเมริกามี 50 รัฐ วุฒิสภาเป็นตัวแทนแต่ละรัฐจึงมีรวม 100 คน มีอำนาจอนุมัติสนธิสัญญา และให้ความเห็นกรณีที่ประธานาธิบดีแต่งตั้งเจ้าหน้า บุคคลต่างๆและกลั่นกรองกฎหมาย</div><div><br /><b><u><span style="color: red;">3.ฝรั่งเศส วุฒิสภาฝรั่งเศสมาจากการเลือกตั้งทางอ้อม</span></u></b> จากตัวแทนสภาท้องถิ่น ตัวแทนหน่วยงานทางปกครองท้องถิ่น คือถ้า อธิบายแบบไทยๆก็คือ ตัวแทนสภา อบต.อบจ.เทศบาล รวมถึงตัวแทนข้าราชการและบุคลากรท้องถิ่น ทั้งหมด 150,000คนเป็นคนเลือกวุฒิสภา<br /><ul style="text-align: left;"><li>ผมมองว่านี่เป็นความฉลาดของคนออกกฎ รัฐธรรมนูญฝรั่งเศส เพราะเขาให้ท้องถิ่นเป็นนายวุฒิสภา แน่นอนว่าเวลามีกฎหมายที่กระทบท้องถิ่น วุฒิสภาพวกนี้จะโดดเข้ามาปกป้อง หรือกรณีที่ท้องถิ่นได้ประโยชน์ วุฒิสภาเหล่านี้ก็จะรีบฉวยประโยชน์ให้ท้องถิ่นเช่นกัน </li></ul>คือเป็นการบริหารการเมืองที่ลงตัวและน่าทึ่งที่สุดตามทัศนะผม คือ มีวุฒิสภาก็ได้ แต่มาจากท้องถิ่นเลือกนะ เพื่อจะให้วุฒิสภาทำงานสนองตอบต่อท้องถิ่นที่เลือกตัวเองมาเป็นวุฒิสภา<br /><br /></div><div><u><b><span style="color: #2b00fe;">นี่คือต้นแบบประชาธิไตยทั้ง 3 รูปแบบว่ามีวุฒิสภากันอย่างไร</span></b></u></div><div><span style="color: #2b00fe;"><b><u><br /><ul style="text-align: left;"><li>ส่วนที่ไทย เดิมที่เดียวตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ 1-2 ประเทศไทยใช้ระบบสภาเดี่ยว คือไม่มีวุฒิสภา จนมารัฐธรรมนูญฉบับที่ 3 (2489 ) หรือว่ากันว่าเป็นฉบับปรีดี เกิดสภาที่สองขึ้นมา เรียกชื่อว่า พฤฒสภา (ผมมิได้พิมพ์ผิดนะ ) อ่านว่า พึด-สะ-พาพฤฒสภานี้มาจาก 2 ทางคือการเลือกตั้งทางอ้อม และแบบลับ หมายถึงให้ส.ส.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดนึง ชื่อว่าองค์การเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา ให้คณะนี้เลือกผู้ที่จะเข้ามเป็นสมาชิก พฤฒสภา</li></ul></u></b></span><span style="color: red;">ต่อมาเกิดรัฐประหาร โดยจอมพลผินและประกาศใช้รัฐธรรมนูฐฉบับ ที่ 4หรือฉบับ 2490 ฉายาใต้ตุ่ม มีการเปลี่ยนชื่อจาก พฤฒสภา มาเป็นวุฒิสภาจนวันนี้ และใช้ระบบ 2 สภาเรื่อยมา</span></div><div><span style="color: red;"><br /></span></div><div><div style="text-align: center;"><span style="color: #800180;"><u><b>กังวาล ทองเตร ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง</b></u></span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-O8tvCT2X5UE/YU1FZYpQ_mI/AAAAAAAAOn4/9LVNMO9JYKEIq-1OMpOhIdQR-oUK81X0QCNcBGAsYHQ/s1222/470551_432018863482859_1002685421_o.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1222" data-original-width="994" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-O8tvCT2X5UE/YU1FZYpQ_mI/AAAAAAAAOn4/9LVNMO9JYKEIq-1OMpOhIdQR-oUK81X0QCNcBGAsYHQ/w520-h640/470551_432018863482859_1002685421_o.jpg" width="520" /></a></div><br /><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><br /></div>Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-70126929549846757782021-09-24T10:23:00.000+07:002021-09-24T10:23:10.686+07:00หุ้นคือมายาภาพ<p> </p><p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-dR-W9_RQJrw/YU1B5mYkj9I/AAAAAAAAOng/VIifUj5pSkEvZtKgC5Jn8vEkSxlbi1gjwCNcBGAsYHQ/s1000/coffee.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="667" data-original-width="1000" height="426" src="https://1.bp.blogspot.com/-dR-W9_RQJrw/YU1B5mYkj9I/AAAAAAAAOng/VIifUj5pSkEvZtKgC5Jn8vEkSxlbi1gjwCNcBGAsYHQ/w640-h426/coffee.jpg" width="640" /></a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="ขอบคุณรูปภาพจากเว็บhttps://www.bigc.co.th/blog/th/">ขอบคุณรูปภาพจากเว็บhttps://www.bigc.co.th/blog/th/</a></div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><br /><ul style="text-align: left;"><li>ผมจะชี้ขุมทรัพย์ ให้สำหรับนักลงทุนทั้งมือเก่า แต่ไปไม่ถึงไหน และมือใหม่ที่หัวยังกลวงๆ แต่ฝันเห็นแต่เงินล้าน ให้ได้นำไปใช้ประโยชน์</li></ul><p></p><p>ในภาพนี้คือกาแฟ กาแฟชัดๆ ไม่ว่าจะยกแก้วนี้ไปถามใคร มันก็จะตอบว่ากาแฟ ซึ่งไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก</p><p>เพราะคนเราจะตอบตามประสบการณ์ ตามตาเห็น ตามองค์ความรู้ที่ตนเองมีอยู่ ซึ่งกาแฟแก้วนี้ ก็เหมือนกับ กระดานทิกเกอร์ ที่ใครมอง ถามใคร มันก็ตอบว่า กระดานซื้อขายหุ้น</p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>การเทรดหุ้นให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องมองสิ่งที่คุณเห็น แต่ไม่เป็นสิ่งที่คุณเห็นให้ได้ก่อน ความรู้นี้ ผมสอนคนมามากพอสมควร ที่จริงในบทความก่อนหน้านี้ก็เคย</li></ul><p></p><p>เราต้องใช้ความรู้ระดับอภิปรัชญา หรือ ปรมัตถ์ มามองมาวิเคราะห์ ผนวกกับความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ที่เราประยุกต์มาให้เข้ากัน มาจับ เราจึงจะพบว่า อ๋อ มันไม่ใช่กาแฟ</p><p><u><b><span style="color: #990000;">ตามวิชาอภิปรัชญา สิ่งที่เราเห็นว่ามันคือกาแฟ เขาเรียกว่า ความจริงขั้นสมมุติ</span></b><span style="color: #20124d;"> </span></u></p><p>คือมันมีความจริงอยู่ มีตัวตนอยู่จริง และกองอยู่ตรงหน้าเรานั้น แต่เราไม่รู้ว่า แท้จริง มันคือสิ่งใด เขาจึงเรียกมันว่า ความจริง ขั้นสมมุติ คือ สมมุติ ไว้ก่อนว่ามันคือ กาแฟ หรือ มันคือน้ำ</p><p>จากนั้นเราค้นหาคำตอบ นำกาแฟแก้วนี้มาศึกษา มาแยกส่วนออก เราจะพบว่า มันมีน้ำ เป็นตัวหลัก มี กาแฟ มีน้ำตาลทราย มีนมข้น มีนมสด นมจืด นมหวาน ก็แล้วแต่จริต มีครีมเทียม มีน้ำผึ้ง อาจมีน้ำปลา หรือผงชูรสด้วย ใครจะรู้ จริตใครมัน</p><p>ดังนั้น กาแฟ 1 แก้ว ที่เราเห็น มันจึงไม่ใช่แค่กาแฟแล้ว แต่มันมีอย่างอื่นอีก</p><p><u><span style="color: #990000;"><b>กาแฟที่ตาเราเห็นนี่เองคือ ข้อมูลดิบที่เราได้รับมา เรียกว่า ดาต้า Data</b></span></u> </p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>มาเมื่อเราแยกให้เห็นเป็นน้ำตาล เป็นอะไรออกมาได้ เรียกขั้นนี้ว่า สารสนเทศ information และขั้นนี้ ในวิชาอภิปรัชญาเรียกมันว่า ความจริงขั้นสมมุติ จากนั้น นำ น้ำไปแยกย่อยหาโมเลกุล หรือสารประกอบใน อะตอมของมัน จะพบว่า ไอ้ที่เรียกว่าน้ำ มันไม่ใช่น้ำ มันคือ H2O คือไฮโดรเยน 2ส่วน ออกซิเยน 1 ส่วน เมื่อนำ สาร 2ชนิดนี้นำมารวมกัน ในสัดส่วนเท่าเดิม มันจะกลายเป็นของเหลว ที่เราเรียกมันว่าน้ำ (ความจริงขั้นสมมุติ ) แต่เมื่อเราแยกน้ำ ออกมาจนเห็นความจริงว่า มันคือ H2O และนำวิธีการนี้ไปให้คนอื่นทำตาม ก็ได้ผลลัพธ์ตรงกัน ทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ไหนในโลก ก็ตรงกัน </li><li>H2O จึงเป็นขั้นความรู้ หรือ<span style="color: red;"> Knowledge </span> หรือ อภิปรัชญา หรือ ความจริงอันประเสริฐ หรือความจริงอันสูงสุด หรือ ปรมัตถ์ นั่นเอง และเราก็ทำแบบนี้ กับ ไอ้ที่เป็นเมล็ดกาแฟ ทำแบบนี้กับไอ้ที่เรียกว่า น้ำตาล นม ผงชูรส ก็ว่าไป ทำให้จนพบความจริง และเป็นความจริงที่สูงสุดแล้ว เราจะได้ ปรมัตถ์ นี่คือการประยุกต์ ความรู้ อภิปรัชญามาเทรดหุ้น มาหาหุ้น</li></ul><p></p><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-C8AwmkkoyuY/YU1C4-vwoXI/AAAAAAAAOno/Ahubwft493gu832rOh3ti-vaDVejhGVWQCNcBGAsYHQ/s1278/bandicam%2B2021-09-23%2B12-14-44-789.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="732" data-original-width="1278" height="366" src="https://1.bp.blogspot.com/-C8AwmkkoyuY/YU1C4-vwoXI/AAAAAAAAOno/Ahubwft493gu832rOh3ti-vaDVejhGVWQCNcBGAsYHQ/w640-h366/bandicam%2B2021-09-23%2B12-14-44-789.png" width="640" /></a></div><br /><p><br /></p><p></p><ul style="text-align: left;"><li>จากนั้น ปรับหรือประยุกต์ ความรู้เศรษฐศาสตร์ มาใช้ร่วมกันอีก เราจะพบว่า วิชาเศรษฐศาสตร์ เขาเรียก กาแฟแก้วนี้ว่า </li></ul><p></p><p><u><b><span style="color: #660000;"> " สินค้าร่วม "</span></b></u> หมายถึง คนที่กินกาแฟดำ เพียวๆ ก็มี แต่มีน้อย ส่วนคนกินกาแฟ ผสมครีมเทียม ผสมน้ำตาล นมข้น นมสด น้ำปลา น้ำผึ้ง มะนาว ก็มี เราไม่สนมันว่าใครจะกินอย่างไร</p><p>เราสนมันเพียงว่า กาแฟ คือ ตัวหลัก อย่างอื่นที่อยู่ในแก้วกาแฟคือสินค้าร่วม ดังนั้น เมื่อประยุกต์มาใช้กับการเทรดหุ้น เราก็ต้องหา สินค้าตัวหลัก หรือ กาแฟนี้ให้เจอก่อน เมื่อคุณเจอกาแฟ คุณจะเจอครีมเทียม น้ำตาลทราย นมสด นมข้น ตามมา เป็นหางว่าว</p><p>คุณเห็นกาแฟขึ้นมา คุณซื้อกาแฟไม่ทัน แต่คุณรู้ว่า ในแก้วกาแฟมีอะไรบ้าง แล้วมันราคายังไม่ขึ้น คุณก็ดักซื้อหุ้นกลุ่มนั้น เพราะมันคือสินค้าที่ใช้ร่วมกัน ไม่มีใครจะซื้อครีมเทียม มาเทกินกับข้าว เพียงลำพัง มันต้องใช้ร่วมกับสินค้าอื่น คุณอ่านออกคุณก็ชนะตลอดไป</p><p>เห็น น้ำมันขึ้น น้ำมันก็คือกาแฟ แล้วอะไรคือครีมเทียม คือน้ำตาล หาให้เจอ ใช้ ปรมัตถ์ค้นหาความจริง เราจะเจอตัวตนมันจริงๆ ไม่ถูกขาใหญ่หลอก</p><p><br /></p>Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-73156084799277509972020-09-08T14:35:00.001+07:002020-09-08T14:47:57.127+07:00ราชวงศ์ไทยที่ครองราชนานที่สุด<div><blockquote style="border: none; margin: 0px 0px 0px 40px; padding: 0px;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-m-DYQ_pKRS8/X1cpZ6RA-wI/AAAAAAAAOew/pzkd11JHnoMlpfQV4Th9d_I3iK-aCGbSwCNcBGAsYHQ/s960/001.jpg" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="960" data-original-width="720" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-m-DYQ_pKRS8/X1cpZ6RA-wI/AAAAAAAAOew/pzkd11JHnoMlpfQV4Th9d_I3iK-aCGbSwCNcBGAsYHQ/w480-h640/001.jpg" width="480" /></a></div><br /><div style="text-align: left;"><br /></div></blockquote></div><b><span style="font-size: large;"><u style="background-color: #04ff00;">ราชวงศ์ไทยราชวงศ์ใดที่ครองราชย์ได้ยาวนานที่สุด</u></span></b><div><b><br /><br /><ul style="text-align: left;"><li><b> นับแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา</b></li></ul><div><span style="background-color: #01ffff;"><span style="font-size: large;">ราชวงศ์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดและไล่ลงไปจากมากสุดหาน้อยสุดดังนี้</span></span></div></b></div><div><b><br /><ol style="text-align: left;"><li><b><span style="color: #660000;">ราชวงศ์จักรี เป็นราชวงส์ที่ครองราชยาวนานที่สุด จากปี พ.ศ.2325 นับถึงปัจจุบัน 2563 รวม238 ปี</span></b></li><li><b><span style="color: #660000;">ราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักสุโขทัย เป็นอันดับ 2 จาก พ.ศ.1792-1981 รวม 189 ปี </span></b></li><li><b><span style="color: #660000;">ราชวงศ์สุพรรณภูมิ 178ปี ปกครอง 2ครั้ง ครั้งแรกปกครอง 18 ปี คือจาก พ.ศ.1913-1931 แล้วถูกโค่นล้มโดยราชวงศ์ อู่ทอง จากนั้นกลับมาชิงอำนาจคืน จากราชวงศ์อู่ทอง และปกครองยาวนานถึง 160 ปี จาก พ.ศ.1952-2112 รวมสองสมัยเป็น 178 ปี</span></b></li><li><b><span style="color: #660000;">ราชวงศ์บ้านพลูหลวง 79 ปี จากปี พ.ศ.2231-2310 ปี</span></b></li><li><b><span style="color: #660000;">ราชวงศ์สุโขทัย ปกครอง 61 ปี จากปี พ.ศ.2112-2172 มีกษัตริย์ 7 พระองค์</span></b></li><li><b><span style="color: #660000;">ราชวศ์ปราสาททอง ปกครอง 58 ปี จาก พ.ศ.2172-2231 มีกษัตริย์ 4 พระองค์</span></b></li><li><b><span style="color: #660000;">ราชวงศ์อู่ทอง ปกครอง สองครั้ง ครั้งแรก 20ปี จาก พ.ศ.1893-1913มีกษัตริย์ 2 พระองค์ และสมัยที่สอง ปกครอง 21 ปี จากปี พ.ศ.1931-1952 สิริรวม 41 ปี</span></b></li><li><b><span style="color: #660000;">สมัยกรุงธนบุรี (ไม่มีชื่อราชวงศ์) ปกครอง 15ปี จาก พ.ศ.2310-2325 สิ้นสุดราชวงศ์</span></b></li></ol><div>ราชวงศ์ที่มีกษัตริย์จำนวนมากที่สุดตามลำดับมากไปน้อยได้แก่</div><div><br /></div><div><ol style="text-align: left;"><li><b>ราชวงศ์สุพรรณภูมิ มีกษัตริย์ทั้งสิ้น 13พระองค์</b></li><li><b>ราชวงศ์จักรี มีพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น นับถึงปัจจุบัน (2563 ) 10พระองค์</b></li><li><b>ราชวงศ์พระร่วง มีทั้งสิ้น 9 พระองค์</b></li><li><b>ราชวงศ์สุโขทัยมีทั้งสิ้น 7 พระองค์</b></li><li><b>ราชวงศ์บ้านพลูหลวงมีทั้งสิ้น 6 พระองค์</b></li><li><b>ราชวงศ์ปราสาททองมีทั้งสิ้น 4 พระองค์</b></li><li><b>ราชวงศ์อู่ทอง มีทั้งสิ้น 3 พระองค์</b></li><li><b>สมัยกรุงธนบุรี มี 1 พระองค์</b></li></ol></div><span style="background-color: #04ff00;">ส่วนราชวงศ์ที่ปกครองสั้นที่สุด คือสมัยธนบุรี (ไม่มีชื่อราชวงศ์ )โดยพระเจ้าตากสินมหาราช ปกครองจาก 2310-2325 รวม 15 ปี</span><br /><br /></b></div><blockquote style="border: none; margin: 0px 0px 0px 40px; padding: 0px;"><div style="text-align: left;"><b><u><span style="color: #cc0000;">กังวาล ทองเนตร ภาควิชาการปกครองคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง</span></u></b></div></blockquote><div><b><br /></b><div><br /><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-qjxnWc60o6M/X1cpJN3P-rI/AAAAAAAAOek/URD3XmjO7Ccby5C864vHEfFcX6B2jmy2QCNcBGAsYHQ/s1269/%25E0%25B8%2595.%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587.png" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="725" data-original-width="1269" height="366" src="https://1.bp.blogspot.com/-qjxnWc60o6M/X1cpJN3P-rI/AAAAAAAAOek/URD3XmjO7Ccby5C864vHEfFcX6B2jmy2QCNcBGAsYHQ/w640-h366/%25E0%25B8%2595.%25E0%25B8%258B%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2587.png" width="640" /></a></div><br /></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><br /></div><br /></div>Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-9750005286133411342020-08-25T14:10:00.001+07:002020-08-25T14:10:46.596+07:00ที่มาของรัฐธรรมนูญไทย 20ฉบับ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-f0c2S3Lbi8s/X0S4ZMjC-MI/AAAAAAAAObc/SXDZi2DPGOIjxqwePp1iKOy_utOHVhGpgCNcBGAsYHQ/s682/d3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="682" data-original-width="448" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-f0c2S3Lbi8s/X0S4ZMjC-MI/AAAAAAAAObc/SXDZi2DPGOIjxqwePp1iKOy_utOHVhGpgCNcBGAsYHQ/s640/d3.jpg" /></a></div><div class="separator"><br /></div><br /><br /> <br /><span style="color: #990000; font-size: large;"><u><b>นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 โดยคณะราษฎร ตราบจนปัจจุบัน กันยายน พ.ศ.2563 ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น 20 ฉบับ โดยผมได้จำแนกแยกย่อยที่มาของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ออกให้เห็นทั้งหมด ดังนี้</b></u></span><br /><br /><br /><b><u style="background-color: #fcff01;"><span style="font-size: large;">มาจาก ส.ส.ร. หรือสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 6ฉบับดังนี้</span></u></b><div><span style="font-size: large;"><b><br /></b></span></div><div><br /></div><div><span style="font-size: medium;"><b><br />1. แม้จะยังไม่เรียกว่า ส.ส.ร คือใช้คำว่า กรรมการยกร่าง มี9คนก็คือร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่2ใช้แทนฉบับที่1ของคณะราษฎร</b></span></div><div><span style="font-size: medium;"><b><br />2. ส.ส.ร.ชุดที่2</b></span></div><div><span style="font-size: medium;"><b>ซึ่งครั้งนี้เรียกชื่อว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรก จำนวน40คน มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่5เพื่อใช้แทนฉบับที่4 (2490,ใต้ตุ่ม)</b></span></div><div><span style="font-size: medium;"><b><br />3. ส.ส.ร.ชุดที่3</b></span></div><div><span style="font-size: medium;"><b> จำนวน240คนมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่8เพื่อใช้แทนฉบับที่7(2502)ที่มาจากยึดอำนาจโดยสฤษดิ์</b></span></div><div><span style="font-size: medium;"><b><br /></b></span><div><b><span style="font-size: medium;">4.ส.ส.ร.ชุดที่4<br />จำนวน99คนมาร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่16(2540)<br /><br /></span></b></div><div><b><span style="font-size: medium;">5. ส.ส.ร.ชุดที่5 <br />แต่งตั้งโดย คมช.จำนวน100คนมาร่างฉบับที่18</span></b></div><div><b><span style="font-size: medium;"><br />6. ส.ส.ร.ชุดที่6<br />แต่งตั้งโดย คสช.มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่20 (ฉบับปัจจุบัน)</span></b></div><div><b><span style="font-size: medium;"><br /></span></b></div><div><br /></div><div><b><u><span style="background-color: #04ff00; font-size: large;"><br /></span></u></b></div><div><b><span style="background-color: #01ffff; font-size: large;">รัฐธรรมนูญที่ร่างโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มี 6 ฉบับ</span></b></div><div><b><span style="font-size: medium;"><br /></span></b></div><div><ul style="text-align: left;"><li><b><span style="background-color: #01ffff; font-size: medium;">ฉบับที่ 2ชื่อรัฐธรรมนูญคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475</span></b></li><li><b><span style="background-color: #01ffff; font-size: medium;">ฉบับที่ 5 รัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492</span></b></li><li><b><span style="background-color: #01ffff; font-size: medium;">ฉบับที่ 8 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511</span></b></li><li><b><span style="background-color: #01ffff; font-size: medium;">ฉบับที่ 16 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540</span></b></li><li><b><span style="background-color: #01ffff; font-size: medium;">ฉบับที่ 18 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550</span></b></li><li><b><span style="background-color: #01ffff; font-size: medium;">ฉบับที่ 20รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560</span></b></li></ul><div><b><u><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-bW9Baf2sRwk/X0S4ufDSPYI/AAAAAAAAObk/0obhd-sAH0c6EQapKucMv6aA0ZFdUkppACNcBGAsYHQ/s402/d2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="402" data-original-width="236" height="400" src="https://1.bp.blogspot.com/-bW9Baf2sRwk/X0S4ufDSPYI/AAAAAAAAObk/0obhd-sAH0c6EQapKucMv6aA0ZFdUkppACNcBGAsYHQ/w235-h400/d2.jpg" width="235" /></a></div><span style="background-color: #ff00fe; font-size: large;"><br /></span></u></b></div><div><b><u><span style="background-color: #ff00fe; font-size: large;"><br /></span></u></b></div><div><b><u><span style="background-color: #ff00fe; font-size: large;">มาจากวิธีการอื่นๆ 4 ฉบับดังนี้</span></u></b></div><div><span style="font-size: medium;"><b><br /></b></span></div><div><ul style="text-align: left;"><li><span style="font-size: medium;"><b>มาจาก ส.ส.หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 เสนอร่างแล้วให้สภา อนุมัติ 1 ฉบับคือ ฉบับ ที่ 3</b></span></li></ul></div></div><div><span style="font-size: medium;"><b>ชื่อรัฐธรรมนูญคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 (สมัยนี้ ผู้แทนราษฎรมี 2 ประเภท )</b></span></div><div><span style="font-size: medium;"><b><br /></b></span></div><div><ul style="text-align: left;"><li><span style="font-size: medium;"><b>มาจากสมัชชาแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการยกร่าง 24 คน ยกร่างแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีและสภาอนุมัติ 1 ฉบับคือ ฉบับคือฉบับที่ 10 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517</b></span></li></ul></div><div><span style="font-size: medium;"><b><br /></b></span></div><div><ul style="text-align: left;"><li><span style="font-size: medium;"><b>มาจาก สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<span style="background-color: #ff00fe;"> (สนช.)</span>ตั้งกรรมการยกร่างและอนุมัติ <span style="background-color: #ff00fe;">2ฉบับคือ</span></b></span></li></ul></div><div><span style="font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 13 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 และ</b></span></div><div><span style="font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 15 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534</b></span></div><div><span style="font-size: medium;"><b><br /></b></span></div><div><span style="font-size: medium;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-2fYq4KSIFMQ/X0S5GJ9Hd7I/AAAAAAAAObs/YiGol5zpekUWanh_RmVX1ndtVFmkIz2jACNcBGAsYHQ/s678/d1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="678" data-original-width="452" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-2fYq4KSIFMQ/X0S5GJ9Hd7I/AAAAAAAAObs/YiGol5zpekUWanh_RmVX1ndtVFmkIz2jACNcBGAsYHQ/s640/d1.jpg" /></a></div><b><br /></b></span></div><div><span style="font-size: medium;"><b><br /></b></span></div><div><b><u><span style="background-color: #fcff01; font-size: large;">มาจากคณะยึดอำนาจและคณะรัฐประหารโดยตรง และคณะเปลี่ยนแปลงการปกครอง 10 ฉบับดังนี้</span></u></b></div><div><ul style="text-align: left;"><li><span style="color: #cc0000; font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 1พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 มาจากคณะราษฎร</b></span></li><li><span style="color: #cc0000; font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 4 (ใต้ตุ่ม )รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยชั่วคราว พุทธศักราช 2490มาจากคณะรัฐประหารนำโดย จอมพล ผิน ชุณหวัณ (บิดาพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ )</b></span></li><li><span style="color: #cc0000; font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 6 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 มาจากจอมพล ป.(นายกฯ ) เสนอให้สภาอนุมัติ</b></span></li><li><span style="color: #cc0000; font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 7 ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2502 มาจากคณะยึดอำนาจที่ใช้ชื่อว่า คณะปฏิวัติ นำโดย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์</b></span></li><li><span style="color: #cc0000; font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 9 ธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2515 มาจาก คณะปฏิวัติโดยจอมพล ถนอม กิตติขจร</b></span></li><li><span style="color: #cc0000; font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 11 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2519 มาจากคณะปฏิวัติ นำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ประกาศใช้</b></span></li><li><span style="color: #cc0000; font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 12รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2520 มาจากการยึดอำนาจซ้ำ นำโดย พลเรือเอก สงัด ชลออยู่</b></span></li><li><span style="color: #cc0000; font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 14 ธรรมนูญปกครองราชอาณาจักร พุทธศักราช 2534 มาจาก คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์</b></span></li><li><span style="color: #cc0000; font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 17 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยชั่วคราว พุทธศักราช 2549 มาจากคณะปฏิรูปการปกครอง (คมช.) นำโดย พล.อ สนธิ บุญยรัตกลิน</b></span></li><li><span style="color: #cc0000; font-size: medium;"><b>ฉบับที่ 19รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยชั่วคราว พุทธศักราช 2557 มาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา</b></span></li></ul><div><span style="font-size: large;"><b><u style="background-color: #04ff00;">รวมทั้งสิ้น 20 ฉบับ</u></b></span></div></div><div><b><blockquote><blockquote><blockquote><span style="font-size: medium;"><br /><u>เรากำลังจะเดินไปสู่การตั้ง ส.ส.ร.ชุดที่7 เพื่อจะร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่21เพื่อจะได้ฉีกทิ้งเพื่อที่จะได้ตั้ง ส.ส.ร ชุดที่8+++++ไปอีกจนเมื่อไหร่<br />นี่คือ<span style="background-color: #01ffff;"> ลัทธิรัฐธรรมนูญConstitutionalism.</span>แข่งกันร่างแข่งกันฉีกอยู่ร่ำไปอย่างนั้นหรือ ???</u></span></blockquote></blockquote></blockquote></b><span style="font-size: medium;"><br /></span></div></div><div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://1.bp.blogspot.com/-QeicUlrh2pA/X0S5OrWsLqI/AAAAAAAAObw/K-vU6rW-b9sJgfteWaGghKGGFfHT9sW5ACNcBGAsYHQ/s346/d4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="346" data-original-width="236" height="400" src="https://1.bp.blogspot.com/-QeicUlrh2pA/X0S5OrWsLqI/AAAAAAAAObw/K-vU6rW-b9sJgfteWaGghKGGFfHT9sW5ACNcBGAsYHQ/w273-h400/d4.jpg" width="273" /></a></div><span style="font-size: medium;"><br /></span></div><blockquote style="border: none; margin: 0 0 0 40px; padding: 0px;"><div><div style="text-align: left;"><u><b><span style="color: red;">กังวาล ทองเนตร ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง</span></b></u></div></div></blockquote><div><div><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /></div></div>Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-25431333884904341162020-05-06T12:54:00.000+07:002020-05-06T12:54:00.927+07:00ข้อมูลการทำรัฐประหารในไทย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="425" data-original-width="640" height="424" src="https://1.bp.blogspot.com/-NcpWysOc_Rs/XrJQrHhXFtI/AAAAAAAAOZU/D9aVftvhI30xMdsS8ksLybVRsWto7capACNcBGAsYHQ/s640/%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B533.jpg" width="640" /></div>
<br />
<div class="mbl notesBlogText clearfix" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;">
<br />
<br />
<strong> <u style="background-color: yellow;"> <span style="color: red;">ข้อมูลการยึดอำนาจ (รัฐประหาร )ในไทย ทั้งสำเร็จ และไม่สำเร็จ มีดังต่อไปนี้</span></u></strong><br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<strong><span style="color: blue; font-size: large;"><u>ที่ยึดอำนาจสำเร็จ มี 11 ครั้ง</u></span></strong></div>
<ol>
<li style="text-align: left;"><b>เมื่อวันที่ 20 มิ.ย 2476 นำโดย พระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจ รัฐบาล พระยามโนปกรณ์นิติธาดา</b></li>
<li style="text-align: left;"><b>.เมื่อ 8 พ.ย. 2490 นำโดย พล.ท ผิน ชุณหวัณ ( บิดา พล.อ. ชาติชาย ชุณหวัณ ) ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์</b></li>
<li style="text-align: left;"><b>เมื่อ 29 พ.ย. 2494 นำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง ทำรัฐประหารตนเอง</b></li>
<li style="text-align: left;"><b>เมื่อ 16 ก.ย.2500 นำโดย จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม</b></li>
<li style="text-align: left;"><b>เมื่อ 20 ต.ค. 2501 นำโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (เจ้าเก่า ) ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ถนอม กิตติขจร</b></li>
<li style="text-align: left;"><b> เมื่อ 17 พ.ย. 2514 นำโดย จอมพล ถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง</b></li>
<li style="text-align: left;"><b>เมื่อ 6 ต.ค. 2519 นำโดย พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช</b></li>
<li style="text-align: left;"><b> เมื่อ 20 ต.ค. 2520 นำโดย พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ ( เจ้าเก่า ) ยึดอำนาจรัฐบาล นาย ธานินทร์ กรัยวิเชียร</b></li>
<li style="text-align: left;"><b>เมื่อ 23 ก.พ. 2534 นำโดย พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ (รสช.) ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ ชาติชาย ชุณหวัณ</b></li>
<li style="text-align: left;"><b> เมื่อ19 ก.ย. 2549 นำโดย พล.อ. สนธิ บุญรัตน์กลิน ยึด อำนาจรัฐบาล พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร</b></li>
</ol>
<div>
<b><span style="color: blue;">11. </span><u><span style="color: red;">เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 เวลา 16.30 </span></u><span style="color: blue;">น นำโดย พล.อ.ประยุทธ จันท์โอชา ภายใต้ชื่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช) ยึดอำนาจ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ( รักษาการ ) โดยมีนายนิวัฒน์ธำรงค์ บุญทรงไพศาล เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด กรณีจำนำข้าว</span></b></div>
<div>
<br />
<br /></div>
<span style="color: red;">*****</span> <u><b><span style="color: purple; font-size: large;">หมายเหตุ</span></b></u> <span style="color: red;">*****</span><br />
<br />
<br />
<br />
<ul>
<li><span style="color: red;">ยังไม่รวมเหตุการณ์ที่ นายควง อภัยวงค์ โดนจี้ให้ลาออกใน 24 ชั่วโมง เมื่อ วันที่ 8 เม.ย. 2491....**</span></li>
<li><span style="color: red;">และยังไม่รวมเหตุการที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดางดใช้รัฐธรรมนูญ ด้วย</span></li>
</ul>
<br />
<strong> </strong><br />
<div style="text-align: center;">
<strong> </strong><u><b><span style="color: blue; font-size: large;"> ยึดอำนาจไม่สำเร็จอีก 11 ครั้งดังนี้</span></b></u></div>
<br />
<div>
<ol>
<li><b> เมื่อ 11ต.ค.2476 กบฎ บวรเดช นำโดย พล.อ.พระวรวงค์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช</b></li>
<li><b> เมื่อ 3 ส.ค.2478 กบฎ นายสิบ นำโดย ส.อ.สวัสดิ์ มะหะหมัด</b></li>
<li><b>เมื่อ 29 ม.ค.2481 กบฏพระยาทรงสุรเดช นำโดยพระยาทรงสุรเดช</b></li>
<li><b>เมื่อ 28 ก.พ. 2491 กบฎแยกดินแดน นำโดย ส.ส. อิสาน กลุ่มหนึ่งเช่น นาย ทิม ภูมิพัฒน์ นายเตียง ศิริขันธ์</b></li>
<li><b>เมื่อ1 ต.ค. 2491 กบฎเสนาธิการ หรือกบฏนายพล นำโดย พล.ต. สมบูรณ ศรานุชิต</b></li>
<li><b> เมื่อ26 ก.พ. 2492 กบฎวังหลวง นำโดย นายปรีดี พนมยงค์ เหตุการณ์ครั้งนี้ ฝ่ายนายปรีดี </b><b>โดนปราบและถูกฆ่ามากมาย</b></li>
<li><b>เมื่อ 29 มิ.ย 2494 กบฎแมนฮัตตัน เกิดระหว่างจะไปรับมอบเรือแมนฮัตตัน นำโดย น.อ.อานนท์ บุณฑริกกาภา</b></li>
<li><b>เมื่อ8 พ.ย.2497 กบฎสันติภาพ นำโดย กุหลาบ สายประดิษฐ์</b></li>
<li><b>เมื่อ 26 มี.ค. 2520 กบฎนำโดย พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ</b></li>
<li><b>เมื่อ 1 เม.ย. 2524 กบฎยังเตอร์ก (เมษาฮาวาย ) นำโดย พล.อ สัณห์ จิตรปฏิมา</b></li>
<li><b>เมื่อ 9. ก.ย.2528 นำโดย พ.อ. มนูญ รูปขจร</b></li>
</ol>
</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<br />
<br />
<br />
<ul>
<li><strong>เหตุการณ์ อภิวัฒน์ เมื่อ 24 มิ.ย 2475 ไม่นับรวม</strong></li>
<li><strong>เมื่อรวมการยึดอำนาจทั้งหมดทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จรวมทั้งสิ้น 24 ครั้ง (รวมที่<u><span style="color: red;">จอมพลผิน จี้นายควง และ พระยามโนปกรณ์ นิติธาดา งดใช้รัฐธรรมนูญด้วย</span><span style="color: blue;"> แต่ไม่รวมเหตุการณ์ 24มิ.ย2475 เพราะถือเป็นการ กึ่งอภิวัฒน์ </span></u></strong></li>
</ul>
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<strong> <span style="color: red;">กังวาล ทองเนตร รัฐศาสตร์ การปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง</span></strong></div>
<br /></div>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<br />
<br />
<div style="font-family: "times new roman"; font-variant-east-asian: normal; font-variant-numeric: normal; line-height: normal; margin: 0px;">
</div>
<br />
<div style="-webkit-text-stroke-width: 0px; color: black; font-family: "Times New Roman"; font-size: medium; font-style: normal; font-variant-caps: normal; font-variant-ligatures: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; margin: 0px; orphans: 2; text-align: start; text-decoration-color: initial; text-decoration-style: initial; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px;">
<br /></div>
<div class="separator" style="-webkit-text-stroke-width: 0px; clear: both; color: black; font-family: "Times New Roman"; font-size: medium; font-style: normal; font-variant-caps: normal; font-variant-ligatures: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; margin: 0px; orphans: 2; text-align: center; text-decoration-color: initial; text-decoration-style: initial; text-indent: 0px; text-transform: none; white-space: normal; widows: 2; word-spacing: 0px;">
</div>
Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-59327041155316631052019-01-04T12:57:00.000+07:002019-01-04T12:57:06.442+07:00หุ้นแลกการ์ด Laggard คืออะไร<div>
<b><br /></b></div>
<b><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="1147" data-original-width="1600" height="458" src="https://3.bp.blogspot.com/-SUHRqAQ4apM/XC7yTJVHFDI/AAAAAAAAOUU/vS-qtidZYhker3enjZ9k89bkEGq73-BMwCLcBGAs/s640/laggard.jpg" width="640" /></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b><u><span style="color: red; font-size: large;">หุ้นแลกการ์ดคืออะไร</span></u></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
นักลงทุนหลายคนมักจะได้ยินว่า เวลาตลาดผันผวน (หมายถึงเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงอย่างรวดเร็วในวันเดียว ไม่มีทิศทางชัดเจน ) ให้หาหุ้นแลกการ็ดเล่น (Laggard) <br />ปัญหาคือ หลายคนไม่เข้าใจคำว่า แลกการ์ด คือไปตีความตาม ความหมายในภาษาอังกฤษ ผลลัพธ์ก็มักผิด<br /><br /><br />เพราะถ้าตีความตามภาษาก็คือ ช้า ล้าหลัง เต่า ประมาณนั้น<br />ก็ลองคิดเอง ถ้าคุณเล่นหุ้นทุนก็น้อย อยากปั้นพอร์ทลงทุนให้โต คุณจะใส่ทุนเข้าไปในหุ้นเต่า ช้าล้าหลังทำไม<br /><br /><br />ดังนั้นภาษาหุ้นหลายๆคำไม่ได้แปลแบบตรงๆตามภาษา เช่น<br />upside ,sentiment อะไรเทือกนี้ มันไม่ได้หมายความว่า หุ้นกลับหัว หรือหุ้นมีความรู้สึก <br /><br /><br />หุ้นบ้าอะไรกลับหัว กลับหัวก็เอาขาชี้ฟ้านะสิ นั่นเจ๊ง<br />หรือหุ้นมีความรู้สึก หมายถึงแค่สัมผัสเธอก็เคลิ้ม อย่างนั้นหรือ ไม่ใช่นะครับ ศัพท์บางคำใช้เฉพาะกลุ่มรู้เฉพาะกลุ่ม คล้ายศัพท์การเมือง อำมาตย์ ที่ความหมายมากกว่าอำมาตย์ ปลาวาฬ ที่ไม่ใช่ปลาวาฬ อาจเป็นปลาบึกก็ได้ คือรู้กันในกลุ่ม<br />พอขยายหลุดรอดออกมานอกวง คนเลยตีความผิดไปจากเดิม<br /><br /><br /><ul>
<li><b>กรณีจะยกคำว่า แลกการ์ดมาอธิบายพอให้เข้าใจ</b></li>
<li><b>คำว่า Laggard ในความหมายนักลงทุนคือ หุ้นที่ มีผลประกอบการออกมาดี แต่ราคาหุ้นยังไม่ตอบสนองกับตลาด </b></li>
</ul>
<br /><br /><span style="background-color: yellow;">เช่น หุ้น A ในคิว 3 มี มาจิ้น 30% มีกำไรสุทธิ หมื่นล้าน อัตราการเติบโต 15% (สมมุตินะ )</span><br /><br /><br /><ul>
<li><b style="background-color: lime;">แต่ราคาหุ้นอยู่ที่ 1.50 บาท หรือกี่บาทชั่งแม่งมัน แต่มันไม่ไป ซึ่งมันน่าจะวิ่งไปตามกำไรหมื่นล้าน อาจจะ 3-5 บาท แต่มันไม่ไป คือไม่ตอบสนอง กำไร </b></li>
</ul>
<br /><br />หุ้นแบบนี้มีนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า มันมีโอกาสที่จะไป เมื่อราคาไม่ไปก็เก็บไว้ คือเก็บ 1.50/หุ้น เพราะคาดว่ามันจะไป 3-5 บาท/หุ้นก็รวยไป นี่คือความหมายที่ใช้กันส่วนใหญ่ในตลาด<br /><br /><br /><ul>
<li><b>แต่คนที่ไม่เข้าใจไปตีความผิดคือ Laggard คือหุ้นที่ตลาดเขียวแม่งก็ไม่เขียว แดงมึงก็ไม่แดง จับเอาแค่นี้โดยไม่สนผลประกอบการ เลยตีความเองว่า ชัวร์กูเจอแล้วหุ้น Laggard ขายไร่ขายนาซื้อแม่งโลด สุดท้าย เจ๊งเพราะถือ 10 ปีแม่งก็ไม่ขยับราคา แถมปันผลก็ไม่ได้อีก ก็จอด</b></li>
</ul>
<br /><br /><span style="background-color: lime;">ดังนั้นคำว่า Laggard จึงหมายถึงหุ้นที่มีคุณสมบัติตามที่ผมยกมาแต่ข้างต้น แต่ผมจะเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อกรองให้ละเอียด คือ ดูตัวเลข เหล่านี้ประกอบด้วยคือค่าของ</span><br /><br /><br /><ul>
<li><b>P/E</b></li>
<li><b>ROA</b></li>
<li><b>ROE</b></li>
<li><b>DEB</b></li>
<li><b>EPS</b></li>
<li><b>%YIELD</b></li>
</ul>
</b><div>
<b><br /><ul>
<li><b>ค่าพวกนี้มันสำคัญเพราะมันจะบอกว่าหุ้นตัวนั้นถูกหรือแพง คำว่าถูกแพงคนไม่เคยเล่นหุ้นจะไม่เข้าใจ ถูกแพงไม่ได้ดูที่ราคาหุ้นเป็นหลัก แต่ดูตัวเลขเหล่านี้ประกอบกัน อาทิ หุ้น ราคา 0.50 บาท ถ้าเราคิดแบบตาเห็นคือถูกมาก แต่พอเราไปดูพีอี สูง ถึง500 เท่า ในขณะที่ ยิลด์กับ อีพีเอส ต่ำ อย่างนี้คือแพงมหาศาล ซื้อไปก็เจ๊ง</b></li>
</ul>
</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="542" data-original-width="1282" height="270" src="https://4.bp.blogspot.com/-Op9-CQXr0lA/XC7yiyfvPrI/AAAAAAAAOUY/39jWDdEWNt0gEgPjJSgmYmobxrN8_FlmwCLcBGAs/s640/011.png" width="640" /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div>
<b><br /><br /><br /><ul>
<li><b>ตรงกันข้ามมีหุ้นอีกตัวราคา 400บาท แต่พีอี 7 เท่า พีบีวี2.5แต่ยีลด์ 11.80% อีพีเอส 20% หุ้นตัวนี้ ราคาถูก เพราะซื้อแล้วมีอนาคตมีผลตอบแทนดีสม่ำเสมอ (เป็นตัวเลขสมมุติให้เห็นภาพ )</b></li>
</ul>
<br /><br /><ul>
<li><b>ดังนั้น Laggard ถ้าเติมตัวเลขที่ผมเพิ่มเข้าด้วยหรืออย่างแย่ก็เพิ่ม ยีลดืเข้าไป ให้ยีลด์สัก 5% ก็พอแล้ว ถือได้ หวังว่าจะไม่งง นี่ล่ะหุ้นไม่ยากและก็ไม่ง่าย แต่ไม่ใช่ที่ที่ใคร เดินถือเงินพร้อมกับหัวโล่งๆ เข้าไปแล้วรวยอย่างแน่นอน</b></li>
</ul>
</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="362" data-original-width="1306" height="176" src="https://4.bp.blogspot.com/-Slax9jdVg6k/XC7ysZSd_qI/AAAAAAAAOUg/PL6Xalrqy-UoVbD7Ovh_9SMq6KBDXK_nACEwYBhgL/s640/2018-12-25_120833.png" width="640" /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u style="background-color: lime;">คำฝากจากคนลงทุน</u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u style="background-color: lime;"><br /></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u style="background-color: lime;">หุ้นคือมายาภาพ ที่ถูกสร้าง</u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u style="background-color: lime;">กระดานหุ้นคือมายาภาพที่ถูกสร้าง</u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u style="background-color: lime;">หุ้นมีขึ้นลง</u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u style="background-color: lime;">หุ้นก็ถูกสร้างให้ขึ้นลงได้เช่นกัน</u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u style="background-color: lime;"><br /></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u style="background-color: lime;">การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนอะไรเลยมีความเสี่ยงกว่า</u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u style="background-color: lime;">ควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง บนพื้นฐานของความรู้ความเข้าใจและไม่ประมาท</u></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-72396038906196085982018-12-16T14:13:00.001+07:002018-12-16T14:13:34.452+07:00สังคมเสียบยอด ( gulping down social, swallowing social)หรือการกลืนกินทางสังคม<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="870" data-original-width="1270" height="438" src="https://2.bp.blogspot.com/--vXijk7BDrs/XBX6r4ux8LI/AAAAAAAAOT0/Yl6HwasE0NQ0VQPSoBDNbX5g9MIwMOU7gCEwYBhgL/s640/%25E0%25B9%2582%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2.jpg" width="640" /></div>
<br /><u><span style="color: #990000; font-size: large;"><b>สังคมเสียบยอด ( gulping down social, swallowing social)</b></span></u><br /><br /><ul>
<li><b>ศัพท์คำนี้ผมเป็นคนบัญญัติมันขึ้นมาเอง ในฐานะคนรัฐศาสตร์ตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่ศึกษาการเมืองมา ผมไม่สงวนลิขสิทธิ์ใครจะนำไปใช้ แต่ บอกด้วยว่า กังวาล ทองเนตร คิดมันขึ้นมา</b></li>
</ul>
<b><u><span style="background-color: yellow; font-size: large;">ผมนำแนวคิดมาจากการต่อยอดต้นไม้ หรือเสียบยอดต้นไม้</span></u></b><br /><ul>
<li><b>กล่าวคือ การต่อยอดต้นไม้ จะเป็นการนำยอดต้นไม้อีกสายพันธุ์หนึ่ง หรือใกล้เคียง มาเสียบลงไปในตอ หรือต้นพันธุ์ซึ่งเป็นอีกสายพันธุ์หนึ่ง อาทิ มะม่วง</b></li>
<li><b><span style="background-color: yellow;"><u><span style="font-size: large;">มะม่วงที่ใช้เป็นต้นตอ</span></u> </span>จะเป็นมะม่วงพื้นเมือง หรืออย่างอื่น แต่มีคุณสมบัติคือ ทนโรค ทนสภาพอากาศได้ดี แต่ ผลมีราคาต่ำ ตลาดไม่นิยม</b></li>
<li><b><span style="font-size: large;"><u style="background-color: lime;">ส่วนที่เป็นยอดที่นำมาเสียบ </u></span>ตรงข้ามกับต้นที่ใช้เป็นตอ คือ อ่อนแอ ไม่ทนโรค แต่ผลมีราคา ตลาดนิยม </b></li>
</ul>
<b>นี่คือกรอบที่มาแนวคิดที่ผมใช้อธิบายสภาพสังคมการเมืองการปกครองของไทย </b><br /><b>ขั้นตอนก็คือนำมะม่วงที่ทนโรคแต่ให้ลูกที่ตลาดไม่ต้องการมาปลูก พอโตระดับหนึ่ง ก็ตัดยอดทิ้ง แต่เหลือรากโคนไว้ในดินต่อไป จากนั้น นำยอดหรือกิ่งมะม่วงของอีกสายพันธุ์มาทำการเสียบเข้าไปกับ ต้นตอเก่า จากนั้น เนื้อเยื่อของต้นเก่ากับ กิ่งยอดใหม่จะประสาน เชื่อมต่อกันเป็นเนื้อเดียว และมีคุณสมบัติใหม่คือ ทนโรค ทนสภาพอากาศ และให้ลูกที่มีราคาดี ตลาดต้องการ</b><br /><ul>
<li><b>นั่นคือสภาพสังคมไทยที่เป็นมาช้านาน หมายถึงส่วนโคนต้นและราก เป็นมะม่วงพื้นเมืองดั้งเดิม อีกสายพันธุ์ หรือหมายถึง ประชาชน ที่เป็นคนส่วนมากของประเทศ และมีรายได้น้อย เป็นผู้ถูกปกครอง มีหน้าที่เป็นฝ่ายผลิตป้อนสังคม ซึ่งก็คือส่วนยอด ในที่นี้หมายถึงมะม่วงอีกสายพันธุ์หนึ่ง ที่อ่อนแอ แต่มีผลที่มีราคาแพงตลาดนิยม ซึ่งในทางสังคมก็คือชั้นชั้นปกครองของไทยและ กลุ่มทุนผูกขาด ที่เป็นมะม่วงส่วนยอด</b></li>
</ul>
<b>ดังนั้นเมื่อมองเผินๆด้วยตาเปล่า จะเห็นว่ามันเป็นต้นมะม่วง หมายถึงมีลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ดอก ผล ล้วนเป็นมะม่วง แต่แท้จริง หรือเนื้อใน มันเป็น ของปลอม เพราะส่วนฐานล่างเป็นมะม่วงอีกสายพันธุ์ ที่ทำหน้าที่ดูดซึมอาหาร แล้วนำไปเลี้ยง โครงสร้างส่วนยอด และผลิดอกออกผล จริงอยู่แม้ลูกมะม่วงจากต้นนี้ จะสามารถรับประทานได้ปกติ หรืออาจรสชาติดีขึ้น ก็ตาม แต่มองลงไปในโครงสร้างจริงๆ จะพบว่า มะม่วงลูกนี้หรือจากต้นนี้ ไม่ใช่ลูกมะม่วงของต้นนี้จริงๆ มันจอมปลอม มันเป็นการโกหกสังคมโลก และต้นตอมะม่วงต้นนี้ก็ถูกบังคับให้หาอาหารมาเลี้ยงส่วนบนทางสังคมตลอดไป อย่างน่าสงสาร</b><br /><ul>
<li><b>ดังนั้นผมจึงนำมาเปรียบเทียบใช้ในการอธิบายสังคมไทยว่า เหมือนมะม่วงเสียบยอด หรือเป็นต้นไม้ชนิดอื่นก็ได้ แต่เป็นการเสียบยอด มิใช่ทั้งโครงสร้างเป็นของสิ่งเดียวกัน</b></li>
</ul>
<b><span style="color: #cc0000;">แม้บางคนจะมองในแง่ธุรกิจหรือทางเศรษฐศาสตร์ว่า นี่คือนวัตรกรรม เชิงบวก เพราะเป็นการเพิ่มคุณค่า เพิ่มราคา ในทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็น่าจะใช่ แต่ในความหมายทางสังคม ทางรัฐศาสตร์ ทางการปกครอง โครงสร้างแบบนี้หมายถึงการ กดขี่ การเอาเปรียบ หรือกลายเป็นการกลืน swallowing ,gulping down ชนิดที่ต้นตอและรากเดิมไม่มีโอกาสแม้แต่จะแพร่ขยายเมล็ดพันธุ์ หรือสายพันธุ์ตนเองได้เลยตลอดไป</span></b><div>
<span style="color: #cc0000;"><b><br /></b></span></div>
<div>
<span style="color: #cc0000;"><b><br /></b></span></div>
<div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" data-original-height="400" data-original-width="550" height="232" src="https://3.bp.blogspot.com/-9lRb3i9Zo_I/XBX6r2dH5zI/AAAAAAAAOTw/Vr-sjJp9K3c6tbWDsf-hAbmNSKuMsbR2ACLcBGAs/s320/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B7%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A3%25E0%25B9%258C-%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.png" width="320" /></div>
<br />
<div style="text-align: left;">
<span style="color: #cc0000; font-weight: 700;"><br /></span></div>
<div style="text-align: center;">
<b style="background-color: cyan;">กังวาล ทองเนตร</b></div>
<b><div style="text-align: center;">
<b style="background-color: cyan;">คณะรัฐศาสตร์ภาควิชาการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง</b></div>
</b></div>
Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-72083424441820469302018-11-08T15:09:00.004+07:002018-12-05T16:03:08.135+07:00เทรดฟอเร็กซ์ได้เงินจริงหรือหลอกลวง<div class="" data-block="true" data-editor="5oagh" data-offset-key="6dpkm-0-0">
<div class="separator" style="clear: both; font-family: helvetica, arial, sans-serif; text-align: center; white-space: pre-wrap;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-KLtEBkdljfw/W-PpaS-p7iI/AAAAAAAAOR8/RsIAo21sv2QwNaWejoznZJrUt4XxU0toACLcBGAs/s1600/1aa.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="704" data-original-width="1394" height="322" src="https://2.bp.blogspot.com/-KLtEBkdljfw/W-PpaS-p7iI/AAAAAAAAOR8/RsIAo21sv2QwNaWejoznZJrUt4XxU0toACLcBGAs/s640/1aa.png" width="640" /></a></div>
<b><u style="background-color: yellow;">โปรแกรมการซื้อขายฟอเร็กซ์</u></b><br />
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="6dpkm-0-0" style="direction: ltr; font-family: inherit; position: relative; white-space: pre-wrap;">
<span data-offset-key="6dpkm-0-0" style="background-color: yellow; font-family: inherit;"><b><u><span style="color: blue; font-size: large;"><br /></span></u></b></span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="6dpkm-0-0" style="direction: ltr; font-family: inherit; position: relative; white-space: pre-wrap;">
<span data-offset-key="6dpkm-0-0" style="background-color: yellow; font-family: inherit;"><b><u><span style="color: blue; font-size: large;">Forexได้เงินจริงหรือหลอก</span></u></b></span></div>
<br />
<b><span style="background-color: yellow; color: red;">ทุกวันนี้ตลาดฟอเร็กซ์ กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในไทย เพราะเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนสำหรับผู้ที่สนใจจะกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ทการลงทุนตนเอง </span><br /> </b><br />
<ul><b>
<li><b>ปัญหาคือมีคนเข้าใจฟอเร็กซ์ที่แท้จริงไม่มากนัก และโบรกเกอร์ต่างๆเป็นของต่างประเทศจึงยากตรวจสอบว่าอันไหนโบรกจริงอันไหนโบรกปลอมหลอกลวง </b></li>
</b></ul>
<b>
<br /><u style="background-color: yellow;"><span style="font-size: large;">หลักการดูโบรกคือ</span></u><br /> </b><br />
<ul><b>
<li><b>หนึ่งต้องโปร่งใส มีสัญญาอนุญาตจดตั้งชัดเจน </b></li>
<li><b>สองคือมีความน่าเชื่อถือ มีคนนิยม มีสำนักงานเป็นตัวตนมีที่อยู่ชัดเจน มีเจ้าหน้าที่ประเทศนั้นๆคอยซัพพอร์ท </b></li>
<li><b>มีอายุการก่อตั้งมากพอสมควร มีประวัติดีไม่เสียหายฉ้อโกงลูกค้า มีช่องทางการฝากถอนเงินหลายช่องทาง ง่ายและสะดวกตลอดเวลา มีเงื่อนไขที่ชัดเจนไม่สีเทา </b></li>
</b></ul>
<b>
<u style="background-color: yellow;">ฟอเร็กซ์ ก็เหมือนบิทคอยน์ ตรงที่ได้รับความนิยมทั่วโลก</u> <br /> </b><br />
<ul><b>
<li><b>แต่กฎหมายไทยยังไม่รองรับ หรือเราเดินช้ากว่าชาวโลก หมายถึงคนซื้อบิทคอยน์ และฟอเร็กซ์ ก็ไม่ผิดกฎหมายแต่ถ้าเกิดความเสียหายต้องแบกรับสภาพกันเอง </b></li>
<li><b>ดังนั้นโบรกเกอร์ที่เราเลือกจึงสำคัญสุด คือ เป็นที่นิยมของนักเทรดทั่วโลก มีชื่อเสียงเชื่อถือได้ การเลือกโบรกฯ เราจึงเลือกจากประสบการณ์คนอื่น และคนส่วนใหญ่</b></li>
</b></ul>
<b>
</b></div>
<div class="" data-block="true" data-editor="5oagh" data-offset-key="6dpkm-0-0">
<b><br /></b></div>
<div class="" data-block="true" data-editor="5oagh" data-offset-key="ctvmk-0-0">
<div style="text-align: center;">
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352518&l=th&p=1" target="_blank"><img border="0" height="142" src="https://1.bp.blogspot.com/-EQ4H79nR0Aw/W-PqE3gSBaI/AAAAAAAAOSQ/Wi_cAwGgj1MWhEqbfnuHdNXpiKUmYpXkgCLcBGAs/s200/bit1.jpg" width="200" /></a></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="ctvmk-0-0" style="direction: ltr; position: relative;">
<ul><br /><u><b><span style="background-color: yellow; color: red; font-size: large;">ข้อสังเกต</span></b></u><br /> <br />
<li><b style="background-color: yellow;">การเทรดฟอเร็กซ์ หรือการลงทุนในตลาดฟอร์เร็กซ์ ต้อง เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์เทรดเอง ได้เองเสียเองจะไม่มีการไปฝากเงินใส่มือให้คนอื่น ไปเทรดให้ โดยอ้างว่าจะจ่ายค่าตอบแทนสูง และต้องเติมเงินเข้าทุกเดือน หรือบีบบังคับให้หาลูกค้า หรือสมาชิก หรือดาวน์ไลน์ </b></li>
<li><b>การเทรดฟอเร็กซ์ ต้องมีอิสระภาพ ทั้งการเปิดบัญชี การเติมเงิน การถอนเงิน ต้องไม่มีใครมาบีบบังคับว่าต้องเติมทุกเดือนเดือนละเท่านั้นเท่านี้ ต้องไม่มีใครมาบังคับให้เทรดหรือซื้อขาย เราสามารถเลือกเวลาซื้อขายเราเองได้ตามที่เราสะดวก คือว่างเมื่อไหร่ พร้อมเมื่อไหร่ก็เทรดได้ </b></li>
<li><b>ถ้าบีบบังคับคือ นั่นคือไม่ใช่แล้ว คือหลอกลวง โบรกเกอร์ที่ดี มีหน้าที่แค่ อำนวยความสะดวก ให้เราทั้งการเปิดบัญชี การฝากการถอนเงิน รับผิดชอบเราในประเด็นเหล่านี้ และมีรายได้จากค่าธรรมเนียมค่าบริการอื่นๆจากเราโดยอ้อม </b></li>
<li><b>จะต้องไม่มาก้าวก่ายเรา และข้อสังเกตอีกอย่าง ให้เราสมัครกับหลายเว็บหลายโบรกเกอร์และอย่าเพิ่งเติมเงิน ให้ เลือกตราสารหรือคู่เงิน คู่เดียวกัน เปิดขึ้นมาเทียบกันทุกโบรกที่เรามีบัญชี จากนั้นตั้งกราฟ ตั้งไทม์เฟรมเดียวกัน เช่น 1 นาที 5 นาที 10 นาที 30นาที เป็นต้น แล้วสังเกตุดูว่ากราฟวิ่งขึ้นลงตรงกันหรือไม่ </b></li>
<li><b>ถ้าโบรกไหน วิ่งผิดปกติจากคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นขึ้นหรือลง ช้า เร็วกว่าคนอื่น ให้สันนิษฐานไว้เลยว่า ไอ้นี่ มีพิรุธ มีข้อผิดสังเกตต่างจากคนอื่น อาจปลอมมา โดยกราฟที่แสดงอาจไม่ใช่กราฟที่ลิงค์มาจากตลาดฟอเร็กซ์โดยตรง แต่เป็นโบรกเกอร์ปลอมเจ้านั้น สร้างหรือจำลองกราฟขึ้นมาเองแล้ว ให้นักลงทุนเทรดบนกราฟที่ตนเองสร้างขึ้นและเซิร์ฟเวอร์ที่ไม่ลิงค์กับตลาด เพื่อกินทุนเรา ความหมายก็คือเราไม่ได้เทรดกับตลาด คำสั่งซื้อหรือขายเราไม่ไปตลาด แต่ไปที่เซิร์ฟเวอร์โบรกเกอร์โดยตรง และเทรดภายใต้กราฟโบรกเกอร์จำลองขึ้นมา อย่างนี้ หลอกชัวร์ ใส่เงินเท่าไหร่ก็หมดเพราะมันกระชากกราฟกินทุนเรา พอได้กำไร อยากถอนก็ปิดบัญชีปิดเว็บเผ่นหนีพร้อมทุนเรา นี่คือตัวอย่างโบรกหลอกลวง </b></li>
<b> <br /><br /><span style="background-color: yellow; color: red;"><u>เทรดได้ก็กำไรของเรา เทรดเสีย ก็รับผิดชอบเอง นี่คือของจริง</u></span><br />
</b>
<li><b>ส่วนโบรกจริงต้องใช้กราฟจริงลิงค์แบบเรียลไทม์กับตลาดเวลานั้นๆเลย คำสั่งซื้อขายไปที่ตลาดโดยตรงและสามารถถอนกำไรได้ อาจช้าหรือเร็ว ตามเหตุผลเวลาที่คาบเกี่ยวระหว่างประเทศบ้างนิดหน่อย แต่ก็ถอนได้ ไม่ใช่ปิดเว็บเชิดเงินหนี</b></li>
</ul>
</div>
<div style="text-align: center;">
<a href="https://fbs.co.th/?ppu=6663080" target="_blank"><img border="0" src="https://1.bp.blogspot.com/-_rrV1N3ypdM/W-PqEQKu00I/AAAAAAAAOSc/Q32pXJ1t8LM1_81iKvurRLKdg9Us3D1kgCEwYBhgL/s200/fbt.png" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: red; font-size: large;">ซึ่งโบรกเกอร์ที่คนไทยและคนทั่วโลกหลักๆเวลานี้ก็จะมี</span></b></u></div>
<br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352518&l=th&p=1">โบรกเกอร์ XM</a> <br />
<a href="https://fbs.co.th/?ppu=6663080"> โบรกเกอร์ FBS</a> <br />
<a href="https://www.exness.com/a/tjvrrjv"> โบรกเกอร์ EXNESS</a> <br />
<br />
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="ctvmk-0-0" style="direction: ltr; position: relative;">
<b><u style="background-color: yellow;">ทั้ง3 นี้ผมไม่ได้จัดเรียงลำดับตามความน่าเชื่อถือแต่อย่างใด</u></b></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="ctvmk-0-0" style="direction: ltr; position: relative;">
<b><br /></b></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="ctvmk-0-0" style="direction: ltr; position: relative;">
<b> แต่คนไทยจำนวนมากไว้วางใจเปิดบัญชีเทรดกันเป็นจำนวนมาก และต่อเนื่องยาวนานหลายปีแล้ว </b><br />
<ul><b>
<li><b>ท่านใดสนใจก็ลองศึกษาข้อมูลหาความรู้เพิ่มเติมดู หรือลองเปิดพอร์ทจริงๆ รับโบนัสจริงเทรดจริงได้เลย หรือเปิดบัญชีจริงแล้ว เปิดบัญชีเดโม หรือบัญชีทดลองเทรด เพื่อฝึกเทรด เสริมทักษะ หรือเริ่มเรียนรู้ไปกับตรงนี้ได้ จะได้มีความรู้จริงเห็นจริง เมื่อเห็นโอกาสหรือเชี่ยวชาญแล้ว เราก็กล้าที่จะลงทุน </b></li>
<li><b>คงไม่มีใครกล้าโยนเงินของตัวเองใส่ไปในอะไรก็ตามที่ตนเองไม่มีความรู้แน่นอน นี่จึงเป็นโอกาสที่ทางโบรกเกอร์เปิดโอกาสให้เราได้ทดลองเทรด ทั้งบัญชีเดโม หรือเทรดจริงเงินจริง ที่โบรกเกอร์ออกทุนให้ จำนวนหนึ่งเพื่อศึกษาจากของจริง</b></li>
</b></ul>
<b>
</b>
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352518&l=th&p=1" target="_blank"><img border="0" src="https://4.bp.blogspot.com/-DSL6bg_SBn0/W-Pr-rZ-JSI/AAAAAAAAOSo/c1jum9KTMGcaX9YTLCiuTLlyD5VNVYBdQCLcBGAs/s400/2018-11-08_145215.png" /></a></div>
<b><u><span style="background-color: yellow; color: red; font-size: large;">สรุปคือ</span></u></b><br />
<div>
<br />
<ol>
<li><b>ฟอเร็กซ์ ไม่ผิดกฎหมาย แต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับเท่านั้นเอง และมีแนวโน้มว่าจะมีกฎหมายรองรับในเร็วๆนี้เพราะเป็นการลงทุนการระดมทุนขนาดใหญ่ เป็นที่นิยม เช่นเดียวกับบิทคอยน์ ที่ไม่มีกฎหมายรองรับแต่ คนนิยมทั่วโลกแล้ว </b></li>
<li><b>ฟอเร็กซ์เป็นทางเลือกของนักลงทุนที่ต้องการกระจายทุนกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทางการเงินในการขยายพอร์ทลงทุนของตนเอง </b></li>
<li><b>ฟอเร็กซ์ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ แต่มีมิจฉาชีพบางกลุ่มอาศัยความไม่รู้หรือความใหม่สำหรับคนไทย ทำให้มันเป็นแชร์ลูกโซ่ </b></li>
<li><b>ฟอเร็กซ์ไม่ใช่การลงทุนผ่านบุคคล กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นการลงทุนที่ตลาดตราสารหนี้ของโลกโดยตรง โดยการเปิดพอร์ทการลงทุนหรือบัญชีจริงผ่านโบรกเกอร์ที่ได้รับการก่อตั้ง แบบถูกต้องจากต่างประเทศ </b></li>
<li><b>ฟอเร็กซ์ไม่มีเงินปันผล ไม่มีผลตอบแทนอย่างอื่นใดๆเลย นอกจาก ส่วนต่างของราคาตราสารที่เราทำการซื้อขายจริง ถ้าใครบอกว่ามีนั่นคือหลอกลวง </b></li>
<li><b>ฟอเร็กซ์ไม่มีการบีบบังคับให้เราเติมเงินหรือบีบบังคับให้เราทำการซื้อขาย แต่อาจมีวงเงินทุน มากน้อยในการฝากเข้าตามลักษณะแต่ละบัญชี ใหญ่ เล็กไม่เท่ากันตามแต่ละชื่อที่โบรกเกอร์จะเรียกชื่อ เช่น บัญชี เซน บัญชีไมโคร บัญชีมินิ บัญชีสแตนดาร์ด บัญชีซีโร่ และอื่นๆ ตามแต่ละโบรกเกอร์ </b></li>
<li><b>เมื่อเปิดบัญชีฟอเร็กซ์กับโบรกเกอร์ที่ถูกต้องไม่หลอกลวงแล้ว จะมีการปฏิสัมพันธ์กัน ระหว่างโบรกและนักลงทุน เช่น ติดต่อสอบถาม แก้ไขปัญหา อำนวยความสะดวก อบรม สัมมนาเพิ่มทักษะความรู้ และกิจกรรม อยู่เสมอ ไม่มีการบีบบังคับหาลูกค้าทุกวิธี </b></li>
<li><b>โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ มีการ เปิดโปรแกรม affiliate ให้ เว็บมาสเตอร์ ให้บล็อกเกอร์ ที่สนใจในการเพิ่มรายได้พิเศษ โดยการสมัครเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ จากนั้น ก็นำลิงค์ หรือแบนเนอร์ affiliate ของตนเอง ไปเชิญชวน บุคคลที่สนใจอยากเทรดฟอเร็กซ์ ให้สมัครตามลิงค์นั้นได้ โดยไม่มีการบีบบังคับเช่นกัน เป็นเพียงการแนะนำ ให้รู้ว่าเปิดบัญชีกับโบรกไหนได้บ้าง และผู้แนะนำอาจได้ค่าแนะนำจากโบรกตามเงื่อนไข โดยไม่มีการไล่เก็บจากผู้สมัครผ่านลิงก์ หรือหักทุนออกจากผู้สมัครผ่านลิงก์แต่อย่างใด และไม่มีการเรียกเงิน การระดมทุน ทุกกรณี </b></li>
<li><b>การได้เงินหรือเสียเงิน จะต้องขึ้นอยู่กับการเทรดหรือซื้อขายของนักลงทุนหรือตัวเราเองจะไม่ได้มาจากวิธีอื่นหรือบุคคลอื่นอย่างเด็ดขาด </b></li>
<li><b>โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่หลอกลวงมีอยู่จริง ดังนั้นเราจึงเลือกจากโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้ มีคนนิยม เป็นที่รู้จัก ไม่มีประวัติการฉ้อโกง และมีเจ้าหน้าที่ มีสำนักงานในไทยอย่างเปิดเผย ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีและมีลักษณะมั่นคงถาวร </b></li>
</ol>
<ul>
<li><b style="background-color: yellow;">ซึ่งโอกาสหน้าผมจะนำวิธีการเปิดบัญชี วิธีการติดตั้งโปรแกรมการซื้อขาย และวิธีการซื้อขายมาอธิบายพอสังเขปพอให้เข้าใจ</b></li>
</ul>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://www.exness.com/a/tjvrrjv" target="_blank"><img border="0" data-original-height="302" data-original-width="429" height="225" src="https://3.bp.blogspot.com/-FrhOsrLY_-4/W-PuFxNCvCI/AAAAAAAAOS8/U0E6WmXkgEMPKN8bSNVOF_uMxPKtYwEKACLcBGAs/s320/exness.png" width="320" /></a></div>
<br />
<ul>
<li><b>ติดตามรายการหมูน้อยนักลงทุนไลฟ์สดได้ที่นี่</b> <span style="color: red; font-size: large;"><b>>>>> <a href="https://www.facebook.com/PIGStockInvestor/?__tn__=kC-R&eid=ARDvnk_It0CACChXMXAXCPiNYoZxUQq4qB_5ZSenuLwDWnQAsXtSVEIp6751zTL7ca9gGaSug04X7wLI&hc_ref=ARQOQapQbbwKNwZ__3zLXy4PyO3Sb-j-PspqO6tfbQVj_hDnLYVorvlygf-Xb9Bnv1o&__xts__[0]=68.ARCoRaezD9AHuz2q-3kO-PTF8fbmrZz4e2cZOCqxQtWbd8YLyBn64hAmt7Ho6MycP3-TzypziLY91xfX4_f06j7fYdzEpq-fJ5xH_mjS57sT7Ioij2lLXAsMKbbHx6f5s0M6kl9ueAxgPwOvUyLhVAlkQBwzPbqwqogeG6ryz_k--xT2DctW9T5srAcknDtG1_0FCLtv_9BULi2DaMKJXs3p3xZqewtWoxco" target="_blank">หมูน้อยนักลงทุน</a> </b></span></li>
<li><span style="background-color: yellow; color: blue;">มีแจกเสื้อสวยๆแบบนี้ ฟรีจาก xm ง่ายๆส่งถึงบ้าน</span></li>
</ul>
</div>
<div>
<br />
<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352518&l=th&p=1" target="_blank"><img border="0" height="240" src="https://2.bp.blogspot.com/-DRoNFFlC_sg/W-PtQ1D5hvI/AAAAAAAAOSw/acdv-S43OnoKu5dvMleGq5IvZgo8KEZMwCLcBGAs/s400/IMG_20181105_152713.jpg" width="400" /></a></div>
<b><br /></b>
<br />
<div style="text-align: center;">
<b><b><u style="background-color: yellow;"><span style="color: red; font-size: large;">ข้อคิดในการลงทุน</span></u></b></b></div>
<b>
</b>
<ul><b>
<li><b>การลงทุนมีความเสี่ยง แต่การไม่ลงทุนอะไรเลยมีความเสี่ยงกว่า </b></li>
<li><b>ถ้าได้กำไรอย่างเดียวโลกนี้คงไม่มีคนยากจน </b></li>
<li><b>แต่ถ้าขาดทุนอย่างเดียว ทุกตลาดทุนคงปิดตัวไปแล้วเพราะไม่มีนักลงทุน </b></li>
</b></ul>
<b>
<span style="background-color: yellow; color: red;">ดังนั้นกำไรหรือขาดทุนจึงอยู่ที่ตัวเรามีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆได้มากแค่ไหน และบริหารจัดการความเสี่ยงได้มากแค่ไหน </span><br /><br /> </b></div>
</div>
</div>
Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-82424067364467215542018-09-09T14:31:00.001+07:002018-09-16T15:18:28.488+07:00Forexคืออะไร ปั้นกระแสเงินสดเสริมสภาพคล่องจากการเทรด ฟอเร็กซ์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352518&l=th&p=1" target="_blank"><img border="0" data-original-height="625" data-original-width="872" height="458" src="https://4.bp.blogspot.com/-w38kKlP_jwE/W5S0mPvRoFI/AAAAAAAAOQ8/a_GBTKbxtaMDBm1ZITiVZE62iefCXk5RgCLcBGAs/s640/forex33.jpg" width="640" /></a></div>
<span id="goog_791112103"></span><span id="goog_791112104"></span><br />
<b><u><span style="background-color: yellow; font-size: large;">Forex คืออะไร</span></u></b><br />
<b><br /><br /><span style="color: yellow;"><span style="background-color: blue;">ฟอเร็กซ์ (Forex ซึ่งย่อมาจากคำว่า foreign exchange</span> </span>เป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศระหว่างโบรกเกอร์โดยไม่มีวันหยุด<br /><br />ปริมาณการซื้อขายในตลาดฟอเร็กซ์แต่ละวันโดยประมาณอยู่ที่ $3.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ปริมาณการซื้อขายส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากบุคคลเพียงคนเดียวแต่เกิดจากโบรกเกอร์ของ interbank ในตลาดแลกเปลี่ยนอัตราระหว่างประเทศ interbank เป็นธนาคารที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง</b><br />
<div>
<b><br /></b></div>
<b></b><br />
<div>
<b><b><u><span style="color: red;">สรุปคือ</span></u></b></b></div>
<b>
</b>
<br />
<div>
<b><b>คำว่าการเทรด ( Trade ) หมายถึงการซื้อ-ขาย เช่นหุ้น หรือฟอเร็กซ์</b></b></div>
<b>
</b>
<br />
<div>
<b><b>ดังนั้นการเทรดฟอเร็กซ์ จึงหมายถึงการซื้อขาย ที่ต้องอาศัยการจับคู่ เป็นหลัก โดยจะมีทั้ง อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน โดยจะมีเงินสกุลหลักอยู่ 7 สกุลคือ</b></b></div>
<b>
</b>
<br />
<div>
<b><b><br /></b></b></div>
<b>
</b>
<br />
<ol><b>
<li><b>USD (อเมริกา)</b></li>
<li><b>EUR (ยูโร )</b></li>
<li><b>GBP (อังกฤษ )</b></li>
<li><b>JPY (ญี่ปุ่น )</b></li>
<li><b>CAD (แคนาดา )</b></li>
<li><b>CHF (สวิตส์ )</b></li>
<li><b>AUD ( ออสเตรเลีย )</b></li>
</b></ol>
<b>
</b>
<br />
<div>
<b><u><span style="color: red;"><a href="https://www.forexinthai.com/566/" target="_blank"><<<< ธนาคารสกุลเงินหลัก >>>></a></span></u></b></div>
<b><br /></b>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=1" target="_blank"><img border="0" data-original-height="381" data-original-width="673" height="226" src="https://2.bp.blogspot.com/-SL6WDW2VD2A/W5i-EitZ8cI/AAAAAAAAORg/TlVs91zCS-sJ_jvo8OWjVwNnApl2eU6ogCLcBGAs/s400/2018-09-10_214611.png" width="400" /></a></div>
<b>
<br />นอกจากนี้ ตลาดฟอเร็กซ์ ยังจับคู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ อาทิ ทองคำ ทองแดง กาแฟ น้ำมัน หุ้น และอื่นๆ แต่โดยหลักการ ต้องมีการจับคู่อ้างอิงกับสินค้าอื่นเสมอ จะเทรดเดี่ยวๆไม่ได้</b><br />
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b><u style="background-color: yellow;">ตัวอย่าง จับคู่เงินสกุลหลัก</u></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b style="background-color: yellow;">USD/EUR</b></li>
<li><b style="background-color: yellow;">USD/GBP</b></li>
<li><b style="background-color: yellow;">USD/JPY</b></li>
<li><b style="background-color: yellow;">USD/CAD</b></li>
<li><b style="background-color: yellow;">USD/CHF</b></li>
<li><b style="background-color: yellow;">USD/AUD</b></li>
<li><b style="background-color: yellow;">EUR/USD</b></li>
<li><b style="background-color: yellow;">EUR/GBP</b></li>
<li><b style="background-color: yellow;">EUR/CAD</b></li>
<li><b style="background-color: yellow;">GBP/USD</b></li>
<li><b><span style="background-color: yellow;">GBP/CHF</span> เป็นต้น</b></li>
<li><b>นอกจากนี้ยังมีเงินสกุลรอง หมายถึงสกุลเงินที่ไม่นิยมใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในตลาดโลกโดยทั่วไป เช่น ไทย สเปน เขมร พม่า อินเดีย รัสเซีย ฯลฯ</b></li>
</ul>
<div>
<b style="background-color: yellow;">การสลับตำแหน่งกันอยู่ข้างหน้า กับข้างหลัง ต่างกันอย่างไร</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>สกุลเงินหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่อยู่ด้านหน้า จะนับเป็นตัวหลัก หรือ เบส ให้เทียบกับ 1 เสมอ</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>เช่น USD/ EUR</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b> หมายถึง เราเลือกเทรดเงินคู่นี้ 1 จึงหมายถึง USD = 1 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับค่าเงินตัวหลังว่าจะมีค่า เท่าใด ถ้าเราคิดว่า ตัวหน้าจะราคาแข็ง หรือ เงินแพงขึ้น เราก็เลือกเทรดฝั่ง ซื้อ หรือ BUY หรือกลับกัน ถ้าเราคิดว่า ตัวหน้าจะอ่อนค่า หรือราคาถูกลง เราก็เลือกเทรด SELL</b></div>
<div>
<b>เมื่อเราเทรดแล้ว ค่าเงินในเวลานั้นไหลไปในทิศทางเดียวกันกับที่เราคาดหมายเราก็ได้กำไร</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>แต่ถ้าสวนทางไม่เป็นตามคาด เราก็จะเสีย นี่คือหลักการเทรดทั่วไป ดังนั้นเราจึงควรมีข้อมูลในมือที่เป็นปัจจุบันเสมอ เช่น การปรับดอกเบี้ย การปรับภาษี การกั้นกำแพงภาษี หรือนโยบายอื่นๆ ล้วนมีผลต่อค่าเงินทั้งสิ้น</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>สกุลเงิน รองจะมีความผันผวนมากกว่าสกุลเงินหลัก นักลงทุนมือใหม่จึงควรเริ่มเทรดที่สกุลเงินหลักก่อน และตั้ง ขนาดการลงทุนให้ต่ำๆไว้ เช่น</b></li>
<li><b> 0.01 pip</b></li>
<li><b>0.02 pip</b></li>
<li><b><b>0.03 pip</b></b></li>
<li><b><b><b>0.04 pip</b></b></b></li>
<li><b><b><b><b>0.05 pip</b></b></b></b></li>
<li><b><b><b><b><b>0.06 pip</b></b></b></b></b></li>
<li><b><b><b><b><b><b>0.07 pip</b></b></b></b></b></b></li>
<li><b><b><b><b><b><b><b>0.08 pip</b></b></b></b></b></b></b></li>
<li><b><b><b><b><b><b><b><b>0.09 pip</b></b></b></b></b></b></b></b></li>
<li><b><b><b><b><b><b><b><b><b>0.10 pip</b></b></b></b></b></b></b></b></b></li>
</ul>
<div>
<b>เพราะถ้าสูงกว่านี้ จะได้กำไรเยอะก็จริงแต่ถ้าผิดทางจะเสียหายมากตามไปด้วย</b></div>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=1" target="_blank"><img border="0" data-original-height="418" data-original-width="753" height="221" src="https://4.bp.blogspot.com/-EHmO_OcPyAw/W5i-FdvDo2I/AAAAAAAAORk/gLWvHFyiXJI9iD-GvB0RbrQUSMqXYoJTgCLcBGAs/s400/2018-09-12_001146.png" width="400" /></a></div>
<b><br /></b></div>
<b><br /></b>
<br />
<ul><b>
<li><b>ตลาด Forex เปิดปิดเวลาไหน?</b></li>
</b></ul>
<b>
<br />ตลาด Forex เปิดตลอด 24 ช.ม.ในวันจันทร์-ศุกร์ แล้วหยุดวันเสาร์-อาทิตย์ ยกเว้น <a href="https://www.forexinthai.com/9358/">สกุลเงินดิจิตอล Bitcoin (BTCUSD)</a> ที่สามารถซื้อขายวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ได้<br /><br /><u style="background-color: yellow;">สำหรับช่วงเวลาเปิด-ปิด เมื่อเทียบกับเวลาบ้านเรา(เมืองไทย) จะได้ดังนี้</u><br /><br />เวลาเปิด/ปิดทำการของตลาด forex<br />ตลาดออสเตรเลีย (AUD) เวลา 5:00 – 13:00 น.<br />ตลาดญี่ปุ่น (JPY) เวลา 7:00 – 14:00 น.<br />ตลาดยุโรป (EUR) เวลา 13:00 – 21:00 น.<br />ตลาดสวิส (CHF) เวลา 13:00 – 21:00 น.<br />ตลาดอังกฤษ (GBP) เวลา 14:00 – 22:00 น.<br />ตลาดอเมริกา (USD) เวลา 19.00 – 3:00 น.<br /><br />(ในช่วงหน้าหนาวเวลาของเมืองไทยเวลาจะเร็วขึ้นอีกประมาณ 1 ชั่วโมง)</b><br />
<div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://fbs.co.th/promo/dreams?ppu=6663080" target="_blank"><img border="0" data-original-height="738" data-original-width="1366" height="344" src="https://3.bp.blogspot.com/-bIoZ_e2u6D0/W5S_Zi68KcI/AAAAAAAAORU/15zTb32BHCsTAT5WwiTugvvUe5VIf2ZKQCLcBGAs/s640/fr.png" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b style="background-color: yellow;"><span style="color: red;">กระดานซื้อขายใช้โปรแกรม MT4-MT5</span></b></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b style="background-color: yellow;"><span style="color: red;"><br /></span></b></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://fbs.co.th/?ppu=6663080" target="_blank"><img border="0" data-original-height="565" data-original-width="1366" height="264" src="https://2.bp.blogspot.com/-vKONLTnxojw/W5S_Zc26XTI/AAAAAAAAORY/I-v_a6hQyZkCixSw9IEB8EqxpwCDCJxwgCEwYBhgL/s640/forex1.png" width="640" /></a></div>
<div>
<b><br /></b></div>
</div>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>เมื่อเราเรียนรู้หลักการพอประมาณแล้ว ประเด็นต่อมาก็คือ การเปิดบัญชีเทรด</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>เนื่องจาก forex แม้จะมีการเทรดทั่วโลก แต่ที่ไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ ไม่มีโบรกเกอร์ของไทยโดยตรง แต่ที่ต่างประเทศจะถูกกฎหมาย แต่ปัญหาคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าโบรกไหนถูกกฎหมายที่ต้นทาง เพราะมีมากมาย </b></div>
<div>
<ul>
<li><b>เราต้องเลือกจากความน่าเชื่อถือ ความเก่าแก่ และความโปร่งใส เป็นหลัก เช่น มีการเป็นโบรกเกอร์มานานแล้ว มีสาขาในไทย มีเจ้าหน้าที่เป็นคนไทย มีเว็บเป็นซับภาษาไทยคอยซัพพอร์ตเรา เป็นอย่างดี และมีสาขามากทั่วโลก มีนักลงทุนในไทยให้ความเชื่อถือ เปิดบัญชีเทรดมาแล้วหลายปี</b></li>
<li><b>โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่กล้ารับรองโบรกอื่น เนื่องจากเรามิได้มีประสบการณ์ การเปิดบัญชีกับเขา แต่ผมมีประสบการณ์และใช้ บริการ 2 โบรกนี้มาแล้วระยะเวลาพอสมควร ก็ถือว่าดีพอสมควร ก็คือ</b></li>
<li><b><span style="font-size: x-large;"> <span style="background-color: yellow;">โบรก</span></span> <span style="font-size: x-large;"><u><a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352518&l=th&p=1" target="_blank">XM</a></u></span></b></li>
<li><b><span style="font-size: x-large;"><span style="background-color: yellow;">กับ โบรกเกอร์</span> <a href="https://fbs.co.th/promo/dreams?ppu=6663080" target="_blank">FBS</a></span></b></li>
</ul>
<div>
<b><u style="background-color: lime;">การเปิดบัญชี เราจะทุนเท่าไหร่</u></b></div>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<br />
<ul>
<li><b>การเปิดบัญชี มี 2 ลักษณะ คือ บัญชีทดลองหรือ เดโม <a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=5" target="_blank">DEMO</a></b></li>
<li><b>และการเปิดบัญชีจริง<u><span style="color: red;"><a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=1" target="_blank"> REAL</a></span></u></b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><u><br /></u></b></div>
<div>
<b>ในการเปิดบัญชีเราไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆเลย สำหรับคนที่ยังไม่มีความรู้มาก่อน อยากทดลองศึกษาสร้างสมประสบการณ์ไปก่อน ก็สามารถเปิดบัญชี เดโมทดลองก่อนก็ได้ โดยบัญชีเดโมนี้ เราจะได้เทรดกับสถานะการณ์จริง ตลาดจริง เรียลไทม์เลย แต่ เงิน ทางโบรกจะใส่เงินจำลองเข้ามาให้เรา 1000-1500 เหรียญ</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>บางคนบอกจริงเหรองั้นฉันเปิด พอใส่เงินเข้ามาแล้วถอนเอาเงินได้ไหม </b></div>
<div>
<b>ขอบอกว่าอย่า โลภครับ เราไม่มีความรู้ เขาเปิดบัญชีให้เราลองเทรดก็ ดีถมเถแล้ว เมื่อเทียบกับตลาดหุ้น เราจะไม่มีบัญชีลองเทรด เล่นจริงเสียจริงเลย</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>บัญชีเดโม กำไร ขาดทุนไม่มีผล เพียงแต่ให้เราทดลองใช้ ว่าถ้า ทรงกราฟแบบนี้ เทรดฝั่งนี้ใช่หรือไม่ หรือถ้าลองเทรด Lot ใหญ่ดูว่า จะแกว่งหรือติดลบมากแค่ไหน เพราะเราลองได้ต้องลองให้หมดจะได้รู้ด้วยตัวเอง เพราะเวลาเปิดบัญชีเทรดจริงเราลองไม่ได้ เราเทรดจริงเสียจริง</b></div>
<div>
<b>ให้ฝึกใช้เครื่องมือให้ครบหรือให้มากที่สุด</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<br />
<ul>
<li><b>อย่าเน้นเอากำไรปลอมๆ เพราะเราไม่มีอะไรได้หรือเสียกับบัญชีเดโมอยู่แล้ว แต่ให้เราเรียนรู้ให้มากที่สุด เพราะแม้จะเป็นบัญชีเดโม แต่ก็มีวันหมดอายุ ทดลองใช้ หรือเงินในบัญชีจำลองหมดก็อดรู้อย่างอื่นๆ</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<br />
<ul>
<li><b>ส่วนบัญชีเทรดจริง จะมีหลายบัญชี ตามละละโบรกเกอร์เรียกชื่อต่างกันออกไป </b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b>ให้เราดูว่า ฝากขั้นต่ำ ที่จะใช้เทรดไม่สูงมาก ที่เรารับได้</b></div>
<div>
<b>ดูค่าสเปรด ให้ต่ำที่สุด เลือกค่าเลเวอเรจ ไม่สูงนัก เช่น 1:100,1:200,1:500 ก็พอ เพราะถ้าสูงมาก เราเทรดได้แต่ละครั้งปริมาณเยอะก็จริง แต่เราจะถูกความโลภ เข้าสิง เช่น เรามี 100 เหรียญในบัญชี ถ้าเราเลือ1:3000 หมายถึง เราเทรดได้ถีง 3000 เหรียญ ซึ่งเกินทุนเราออกไปเป็นจำนวนมาก มีความเสี่ยงจะถูกล้างพอร์ทได้ง่าย</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<br />
<ul>
<li><b>สิ่งที่เราต้องเตรียม ในการสมัครคือ ให้อัพโหลด สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประชาชนไว้ หรือ สะแกนจากตัวจริงเข้าเครื่องเราไว้ก่อน</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>เพราะในขั้นตอนการสมัคร </b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<br />
<ul>
<li><b>เรากรอก เมล์ ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด จากนั้นกด ลงทะเบียนไปทางโบรกจะส่งเมล์มาหาเรา ให้เราเปิดเมล์และคลิกลิงก์เพื่อยืนยันเมล์</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b style="background-color: yellow;"><u> ( ต้องแน่ใจว่าเมล์ที่เราใช้สมัครยังใข้งานได้อยู่และจำรหัสล็อกอินได้ ให้ทดลองเข้าเมล์ดูก่อน )</u></b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;"><u><br /></u></b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;">จากนั้นจะเป็นขั้นตอนยืนยันหมายเลขโทรศัพท์ โดยเรากรอกเบอร์เราแล้วส่ง ทางโบรกจะโทรกลับมาหาเรา เป็นภาษาไทย แล้วให้รหัสยืนยัน ให้เรานำรหัสนั้นไปกรอกลงช่องยืนยัน แล้วส่ง</b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;">ขั้นตอนสุดท้ายคือยืนยันตัวตน โดยการเลือกประเภทเอกสาร ก่อนแล้วคลิกอัพโหลดไฟล์รูปภาพเอกสารที่เราเตรียมไว้ แล้วรอ เมื่อเสร็จขั้นตอน ให้เราล็อกอินเข้าบัญชีเราแล้วคลิกรับโบนัสตามตกลงเข้าบัญชี</b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;"><br /></b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;"><br /></b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;">จากนั้นให้เราอัพโปรแกรมเทรด MT4 -หรือ MT5 ก็ได้ ต่างกันที่ mt5สามารถซื้อ หุ้นอ้างอิงได้ mt4 ซื้อไม่ได้เท่านั้นเอง และให้เลือกให้ตรงกับแพลทฟอร์มเรา ทั้งสมาร์ทโฟน และ พีซี</b><br />
<b style="background-color: yellow;"><br /></b>
<b>จากนั้นปรับแต่งบัญชีเรา และทำการเทรดได้เลย</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>มีปัญหาไม่เข้าใจตรงไหนสามารถสอบถามเป็นคำภามไว้ได้ใต้บล็อกนี้ หรือไปดูที่ วีดีโอแนะนำหรือลิงก์ต่างๆด้านล่างนี้</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>ส่วนการเติมเงินเข้าบัญชีหรือฝากเงิน ให้เราไปเปิดบัญชี ไอแบงค์กิ้งกับธนาคารที่เรามี จากนั้นค่อยฝากเงินเข้า หรือถอนเงินออกผ่านไอแบงค์กิ้งเรา ได้เลย </b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>ขอให้ทุกคน ลงทุนอย่างมีสติ เพราะฟอเร็กซ์ สามารถสร้างกำไรและกระแสเงินสดให้เราได้จริง</b></div>
<div>
<b>เหมาะกับการเสริมสภาพคล่องของเราให้ดียิ่งขึ้น เพราะลงทุนน้อย เห็นผลเร็ว ได้แล้วให้ออก อย่าโลภ สะสมกำไรไปเรื่อยๆให้ได้ทุกไม้ก็พอ หรือเสียให้น้อยที่สุดขอให้ทุกคนโชคดี</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?m=6515&c=352529"><img height="90" src="https://ads.pipaffiliates.com/i/6515?c=352529" width="680" /></a>
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=0">หน้าหลัก</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=1">เปิดบัญชีซื้อขายฟอเร็กซ์จริง</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=24">MotoGP promo 2018</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=2">ประเภทบัญชีซื้อขาย</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=3">บัญชีฟอเร็กซ์ที่มีสเปรดเป็นศูนย์</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=4">แพลทฟอร์ม MT4</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=5">เปิดบัญชีเดโม</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=6">โปรโมชั่นและโบนัส</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=7">งานสัมมนาฟอเร็กซ์</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=8">เกี่ยวกับ</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=12">วิธีการถอนเงิน</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=13">วิธีการฝากเงินเข้าบัญชี</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=14">เครื่องคิดเลขฟอเร็กซ์</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=15">เครื่องคำนวณฟอเร็กซ์มาร์จิ้น</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=16">เครื่องคำนวณมูลค่า Pip ฟอเร็กซ์</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=17">แพลตฟอร์มซื้อขาย Android MT4</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=18">การช่วยเหลือของ XM</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=20">แพลตฟอร์มซื้อขาย MetaTrader 5 (MT5)</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352529&l=th&p=22">พื้นที่สำหรับสมาชิก XM</a><br />
<a href="https://clicks.pipaffiliates.com/c?c=352518&l=th&p=7">งานสัมมนาฟอเร็กซ์</a><a href="https://fbs.co.th/promo/fbsPro?ppu=6663080" style="outline: none;" target="_blank"><img border="0" height="90" src="https://fbs.co.th/upload/promo/banner/1cf46660328b1bb0a37d19037a35b52c.gif?ppu=6663080" width="680" /></a>
<a href="https://fbs.co.th/promo/happyTShirtFbs?ppu=6663080" style="outline: none;" target="_blank"><img border="0" height="90" src="https://fbs.co.th/upload/promo/banner/6ab73b2459c74d497ee0f6edb7f464e3.gif?ppu=6663080" width="680" /></a>
<a href="http://www.bumq.com/?p=20120505897644690" target="_blank"><img border="0" src="//banner.bumq.com/affiliate/120x120_2.gif" /></a>
Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-3938867694668095502018-06-02T14:13:00.000+07:002018-07-07T20:00:03.910+07:00ระบบpre-degree ที่ราม กับดักหรือโอกาส<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<iframe width="280" height="35" src="https://lap.lazada.com/searchbar/searchbar.php?aff_id=81289&country=th&placeholder=https%3A%2F%2Fwww.lazada.co.th%2Fproducts%2Fhohner-john-lennon-signature-harmonica-john-lennon-signature-i5532109-s6840945.html%3Fspm%3Da2o4m.pdp.recommendation_2.3.1de7701aRpgYBK%26mp%3D1%26scm%3D1007.16389.99110.0%26clickTrackInfo%3D0448452d-4403-429c-b1ea-f305edb40f41__5532109__7535__1" frameborder="0" scrolling="no"></iframe>
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-BJuMABBxgEQ/WxI1AKSJjJI/AAAAAAAAOQM/jYYJXMap5f4LVP193_bC__brd-9vCGjfwCLcBGAs/s1600/09.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="600" data-original-width="800" height="300" src="https://4.bp.blogspot.com/-BJuMABBxgEQ/WxI1AKSJjJI/AAAAAAAAOQM/jYYJXMap5f4LVP193_bC__brd-9vCGjfwCLcBGAs/s400/09.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue; font-size: large;">pre degreeกับระบบใหม่ที่ราม กับดักหรือโอกาส</span></b></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li>ต<b>ามที่พี่ก้องได้เคยแนะนำให้น้องๆที่จบ ม.3 มาแล้ว ให้ไปสมัครเรียนระบบ pre-degree ที่ราม เพราะจะทำให้ ย่นระยะเวลาในการเรียน ป.ตรีได้</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b><span style="color: red;">บัดนี้ ทาง รามได้แก้ไขหลักสูตรโครงสร้างใหม่ ส่งผลกระทบมากมายกับคนเรียนปรีดีกรี และทางรามไม่มีมาตรการเยียวยา นักศึกษาปรีดีกรีเลยแม้แต่น้อย </span></b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>กล่าวคือ ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาใหม่ โดยไม่มีแนวทางแก้ไขเยียวยานักศึกษา นักศึกษาที่ได้รับผลกระทบเลย โดยเฉพาะนักศึกษาปรีดีกรี เช่น นักศึกษาปรีดีกรี ที่เข้าสมัครเรียนตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมาซึ่งตอนนั้นกำลังเรียน ม.4 และจบ ม.6 ในต้นปี 61 ซึ่งจะต้องลาออกจากระบบ ปรีดีกรีก่อนแล้วนำวุฒิ ม.6 ไปสมัครเป็นนักศึกษาใหม่ระบบปกติ และ ทำการเทียบโอนหน่วยกิต ที่สอบได้ตั้งแต่สมัยเรียน ปรีดีกรี ซึ่งปกติจะเทียบโอนได้ทั้งหมด เพราะ เรียนที่ราม</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u style="background-color: yellow;">แต่ปัจจุบัน จะเทียบโอนได้เพียงบางส่วนที่ตรงกับหลักสูตรใหม่เท่านั้น</u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เช่น นาย เอ สอบไล่ได้ 80 หน่วยกิต ตอนเรียน ปรีดีกรี พอนายเอจบ ม.6 เมื่อผ่านขั้นตอนลาออกและสมัครใหม่แล้ว นายเออาจจะเทียบโอนหน่วยกิตได้ เพียง 40 หน่วยกิต ต้อง เสียไปถึง 40 หน่วยกิต</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="background-color: yellow; color: red;">ทั้งที่ นายเอ เลือกเรียนตามหลักสูตรโครงสร้างของมหาลัยทุกประการในขณะนั้น</span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>นายเอเสียทั้งเวลาเรียน สอบ เงินค่าลงทะเบียนหน่วยกิตละ 50 บาท ทิ้งฟรีๆโดยที่มหาลัยไม่หามาตรการแก้ไขเยียวยาเลย เป็นเหมือนการลอยแพนักศึกษาระบบปรีดีกรี โดยสิ้นเชิงโดยไม่รับผิดชอบ</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>แล้วอย่างนี้ จะมีระบบปรีดีกรีไปเพื่ออะไร และจะเสียเงินเรียนปรีดีกรีแพงกว่าไปเพื่ออะไร ในเมื่อเรียนแล้ว ต้องไปวัดดวงกับมหาวิทยาลัย ตอนไปเทียบโอน แล้วแต่บุญแต่กรรม</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b style="background-color: yellow;"><u>และทาง ม.ราม แจ้งอีกว่า จะ มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักสูตรทุก 5 ปี หมายความว่า</u></b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: red;">เด็กที่เรียน ม.ปลาย จะเรียนทันหลักสูตร 1 คน และเสียประโยขน์ 1 คน </span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: red; font-size: large;"><u>ตัวอย่าง</u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b style="background-color: yellow;">ระบบใหม่ราม เริ่มต้น ปี 2560 ครบ 5 ปี จะมีการเปลี่ยนหลักสูตร เมื่อ 2565</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b style="background-color: yellow;">ดังนั้น เด็กที่เรียน จบ ม.3 และกำลังเรียนชั้น ม.4 ในปี 2560 เมื่อไปสมัครปรีดีกรีราม เขาจะจบ ม.ปลายเมื่อต้นปี 2564 จะสามารถเทียบโอนได้หมด นับเป็น 1 รุ่น</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b style="background-color: lime;"><span style="color: red;">แต่รุ่นที่ 2 จบ ม.3 ต้นปี64และเริ่มเรียน ม.4 จะไปจบ ม.6 เมื่อต้นปี 2567 ซึ่ง เลยกำหนด 5 ปีของ ม.ราม ที่ต้องปรับหลักสูตรใหม่ ในปี 2566 </span> </b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>ดังนั้นเด็กรุ่นนี้ จะเรียนหลักสูตรเก่าราม 2 ปี และเรียนหลักสูตรปรับใหม่ 1 ปี จึงจะจบ ม.6</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>นั่นหมายความว่า เด็กรุ่นนี้ต้องไปเสี่ยงโชคเอากับรามว่า หลักสูตรเก่าที่เรียนมาตั้งสองปี จะเทียบโอนได้กี่หน่วยกิต</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><u><span style="background-color: yellow; color: red;">และจะกลายเป็นทศนิยมไม่รู้จบไปอย่างนี้ ทุก 5 ปี เพราะจะมีเด็กจบ ตามหลักสูตรเก่า 1 รุ่น และ ลูกครึ่ง 1 รุ่น โดยที่ทางมหาลัยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบนี้เลย</span></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b><span style="color: blue;"><u>การที่รามอ้างว่า ต้องปรับเปลี่ยน ทุก 5 ปีตามนโยบายเบื้องบน จึงฟังไม่ขึ้น</u></span></b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: blue;"><u><br /></u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: blue;"><u style="background-color: yellow;">เพราะการปรับเปลี่ยนหลักสูตร เป็นคนละกรณี กับความรับผิดชอบต่อนักศึกษาในระบบปรีดีกรี ของตนเอง</u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: red; font-size: large;"><u>ทั้งที่ ม.ราม สามารถดำเนินมาตรการเยียวยานี้ได้ โดย</u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ol>
<li><b>แจ้งนักศึกษาในขณะลงทะเบียนว่า กระบวนวิชาใดบ้างที่ลงทะเบียนแล้วจะเทียบโอนได้หรือไม่ได้ซึ่งก็อาจ ยาก เพราะเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ว่าหลักสูตรใหม่ในอีก 5 ปีจะมีอะไรบ้างง</b></li>
<li><b>ใช้มาตรการเยียวยา ให้นักศึกษาสามารถนำใบเสร็จลงทะเบียน หรือทรานสคริปต์ ที่ยังไม่จบ ที่มีผลสอบไล่ได้ A,B,C,D ไปขอรับเงินค่าลงทะเบียนพร้อมค่าธรรมเนียมคืนได้โดยไม่มีเงื่อนไข</b></li>
</ol>
<div>
<ul>
<li><b>แต่ทางรามก็มิได้ดำเนินการใดๆ หากแต่ปล่อยให้นักศึกษา เผชิญชะตากรรมที่รามสร้างให้ตามลำพัง</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b>โดยไม่ดูดำดูแดงเด็กของตัวเอง เป็นเหมือนการลอยแพเด็ก ที่เข้าเรียนในระบบ ปรีดีกรี โดยไม่ต้องสงสัยเลย</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>อนึ่ง การที่ทางราม ตัดการติดต่อระหว่างมหาลัยกับนักศึกษา โดยไม่ส่งข่าวรามให้ เป็นการเสียหายอย่างยิ่ง ทั้งที่ นักศึกษารามทุกตนทุกระบบ ได้จ่าค่าสมาชิก ข่าวรามคนละ 100 บาททุกคน ทุกปี แต่ทางรามไม่ได้จัดส่งเอกสารข่าวรามให้เลย</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>ในข่าวราม มีการแจ้งความเคลื่อนไหวมหาลัย ปฏิทินการศึกษา และ การแจ้ง ม.ร.30 ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการเรียนราม เพราะ ม.ร.30 บอก วิชาที่เปิดเรียน สถานที่เรียน เวลาเรียน วันเวลาสอบ ล่วงหน้า ให้นักศึกษาได้วางแผนจัดการตัวเองให้ตรงตามความเหมาะสมกับตัวเอง</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>เพราะนักศึกษาราม เป็นส่วนใหญ่ ทำงานควบคู่กับการเรียนไปด้วย ช่องทางที่สะดวกที่สุดจึงเป็นข่าวราม เพราะเป็นมาตรฐาน เดียวกันทั้งหมดในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศจากราม</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>เมื่อราม งดส่งเอกสารข่าวราม แล้วย้ายสารสนเทศไปทางสื่ออิเลกทรอนิกส์อย่างเดียว จึงเป็นการตัดทางเลือกนักศึกษาให้เหลือน้อยลง เพราะพื้นฐานนักศึกษาทุกคนไม่เท่ากัน การเข้าถึงข้อมูลไม่เท่ากัน จึงควรสร้างทางเลือกใหม่ๆ และรักษาทางเลือกที่ดีอยู่แล้วไว้ด้วย</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>พี่ก้องในฐานะลูกพ่อขุนคนนึง และเป็นผู้ที่นำข่าวมาแนะนำน้องๆให้ไปเรียนระบบ ปรีดีกรี จึงรับไม่ได้ กับการปล่อยลอยแพ น้องๆ แบบนี้</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>ทางรามต้องมีคำตอบที่พอใจ และหามาตรการแก้ไขให้โดยด่วน</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>และพี่ก้องแนะนำให้น้องๆ ที่เสียประโยชน์ รวมตัวกัน เรียกร้อง ขอรับการเยียวยานี้จากรามให้ได้ ตาม</b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;"><span style="color: red;">มาตรา 42 วรรค 2 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีทางปกครอง พ.ศ.2542</span></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>เมื่อไม่ได้รับการเยียวยา หรือไม่ได้รับคำตอบ หรือไม่ดำเนินการ หรือดำเนินการล่าช้าเกินสมควร</b></li>
<li><b>พี่ก้องแนะนำให้ฟ้องร้อง ม.ราม และสภามหาวิทยาลัยรามคำแหง ต่อศาลปกครอง เพื่อรักษาสิทธิและผลประโยชน์ของเรา</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b><span style="color: #cc0000;">เราคือปัญญาชน อย่าให้ใคร เอารัดเอาเปรียบโดยไม่เป็นธรรม</span></b></div>
<div>
<b><span style="color: #cc0000;">และโดยเฉพาะ รามคำแหง คือสถาบันการศึกษาที่ทรงเกียรติ ที่เราเคารพและยึดมั่น เราจึงมุ่งหน้าไปเรียนที่นั่น อย่าให้บุคคลใด คณะใด มาทำลายชื่อเสียงสถาบัน พ่อขุนของเราอย่างเด็ดขาด</span></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b>กังวาล ทองเนตร คณะรัฐศาสตร์ เอกการปกครองมหาวิทยาลัยรามคำแหง</b></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<br />Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-38007896482650412812018-03-23T19:06:00.003+07:002018-07-07T19:58:40.009+07:00เทรดหุ้นอย่างไรให้รวย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-ypfjYn1dx-w/WrTVoQk2-dI/AAAAAAAAOO0/HvtDfuWbaawFiiPmY-VH_RUjRq5JtYMfgCLcBGAs/s1600/2018-02-21_153637.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="738" data-original-width="1366" height="344" src="https://2.bp.blogspot.com/-ypfjYn1dx-w/WrTVoQk2-dI/AAAAAAAAOO0/HvtDfuWbaawFiiPmY-VH_RUjRq5JtYMfgCLcBGAs/s640/2018-02-21_153637.png" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u><span style="color: #990000;">กระดานทิกเกอร์หรือกระดานแสดงความเคลื่อนไหวหุ้นแบบเรียลไทม์ในสตรีมมิ่ง</span></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="color: blue; font-size: large;">เทรดหุ้นอย่างไรให้รวย</span></u></b></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<ul>
<li><b>ถ้าจะตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็ต้องตอบว่า อย่าให้เสีย แต่ถ้าจะถามว่าแล้วเทรดอย่างไรไม่ให้เสีย ก็ต้องตอบว่า นั่นแหละคือปัญหาที่เราจะคุยกัน</b></li>
</ul>
</div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<ul>
<li><b>การเทรด หรือ ซื้อ - ขาย หุ้น ปัจจุบันนี้สามารถทำได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งการเปิดพอร์ทเล่นหุ้น และการเทรดหุ้น โดยเราสามารถเทรดหุ้นอยู่ที่ใดก็ได้ ถ้ามีคอมพิวเตอร์ หรือ สมาร์ทโฟน และมีเน็ต เราก็สามารถเทรดหุ้นทุกสถานที่</b></li>
</ul>
</div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<ul>
<li><b>การที่เราจะเทรดหุ้น สิ่งแรกที่เราจะมีคือ พอร์ทเล่นหุ้น เราสามารถไปเปิดพอร์ทเล่นหุ้นได้ที่โบรกเกอร์ ที่ได้รับอนุญาต ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เปิดพอร์ทหุ้นออนไลน์<span style="color: red;">>>>>>>>></span><u><span style="color: red;"><a href="http://www.settrade.com/C00_BeginnerRedirect.jsp?txtPage=beginnerZone/th/beginner-broker-list.html" target="_blank"> <span style="font-size: large;">คลิกที่นี่ </span> </a><<<<<<<</span></u></b></li>
<li><b>หรือเราจะไปเปิดพอร์ทด้วยตัวเองตามโบรกเกอร์ต่างๆ ท่านใดมีเวลาผมแนะนำให้ไปเปิดด้วยตนเองจะดีกว่า จะได้ พูดคุยซักถาม กับทางเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจ ใช้เวลาไม่นานในการกรอกเอกสาร </b></li>
</ul>
</div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>และไม่ต้องใช้เงินสดแม้สลึงเดียวในการเปิดพอร์ทหุ้น เมื่อพอร์ทเราได้รับอนุมัติ เราจึงเติมเงินเข้าไปในพอร์ท <span style="background-color: yellow;">(ย้ำว่าเติมเงินเข้าพอร์ทนะครับ ไม่ใช่ธนาคาร )</span></b><br />
<b><span style="background-color: yellow;"><br /></span></b>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://ho.lazada.co.th/SHdTh1?web_url=https%253A%252F%252Fwww.lazada.co.th%252Fproducts%252Fhohner-john-lennon-signature-harmonica-john-lennon-signature-i5532109-s6840945.html%253Fspm%253Da2o4m.pdp.recommendation_2.3.1de7701aRpgYBK%2526mp%253D1%2526scm%253D1007.16389.99110.0%2526clickTrackInfo%253D0448452d-4403-429c-b1ea-f305edb40f41__5532109__7535__1&deeplink=lazada%3A%2F%2Fth%2Fd%3Fps%3DHO097MEAA2Q0F5ANTH-5894968" target="_blank"><img border="0" data-original-height="1000" data-original-width="1000" height="320" src="https://4.bp.blogspot.com/-CoJmg_fuLAI/W0C4t1dmVXI/AAAAAAAAOQs/w5dKu3Ca1gglWi5LaO0W4jAt_HEKMk4IwCLcBGAs/s320/448.jpg" width="320" /></a></div>
<b><span style="background-color: yellow;"><br /></span></b></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<b><u><span style="color: blue; font-size: large;">ขั้นตอนการเปิดพอร์ท</span></u></b><b><u><span style="color: blue; font-size: large;">เตรียมเอกสารดังนี้</span></u></b></div>
<div style="text-align: left;">
<ol>
<li><b><u><span style="color: #990000;">สำเนาบัตรประชาชน 3 ใบ</span></u></b></li>
<li><b><u><span style="color: #990000;">สำเนาทะเบียนบ้าน 3ใบ</span></u></b></li>
<li><b><u><span style="color: #990000;">สำเนาธนาคารที่เราจะโอนเงินเข้า -ออก จากพอร์ทหุ้น</span></u></b></li>
</ol>
<div>
<b>นำเอกสารดังกล่าวที่เซ็นชื่อรับรองและสำเนาถูกต้อง ไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ ที่สำนักงานของโบรกเกอร์ หรือที่ธนาคาร กรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพานิชย์ เป็นต้น โดยแจ้งความจำนงกับเจ้าหน้าที่ว่าเราต้องการเปิดพอร์ทหุ้น </b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>เจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกให้และให้เรากรอกเอกสาร จากนั้นก็รออนุมัติ ไม่เกิน 1-2สัปดาห์ หรือเร็วกว่า ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>พอร์ทที่เราจะเปิดสำหรับรายย่อยทั่วไปเป็นบัญชีแบบ cash balance หรือบัญชีเงินสด</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>เมื่อเราได้รับการอนุมัติแล้ว ทางโบรกเกอร์จะแจ้งเลขบัญชีพอร์ทเรา และรหัสล็อกอินชั่วคราว เมื่อเราได้รับแล้วให้เข้าไปตั้ังค่า เปลี่ยนรหัสล็อกอินใหม่ และตั้งรหัส พิน (pin) เพื่อใช้ยืนยันคำสั่งซื้อ-ขายหุ้น</b></div>
<div>
<b>จากนั้นก็เติมเงินเข้าไปยังเลขบัญชีพอร์ทหุ้น ขั้นต่ำ 5,000 บาท เพื่อทำการซื้อขายหุ้น</b></div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue; font-size: large;"><br /></span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-gLlTfxyyaJg/WrTVok1DIPI/AAAAAAAAOO4/TqkQcLEkt4ABGXX-EDFkln8DSdVwV0CIgCLcBGAs/s1600/2018-02-21_153701.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="738" data-original-width="1366" height="344" src="https://3.bp.blogspot.com/-gLlTfxyyaJg/WrTVok1DIPI/AAAAAAAAOO4/TqkQcLEkt4ABGXX-EDFkln8DSdVwV0CIgCLcBGAs/s640/2018-02-21_153701.png" width="640" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>บัญชีแบบ cash balance นี้ อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คล้ายกับ เราใช้โทรศัพท์ แบบเติมเงิน หมายถึงเราเติมเงินเท่าใดก็สามารถโทรได้เท่านั้น เงินหมดก็เติมใหม่</b></li>
</ul>
<br />
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>เช่นเดียวกัน cash balance สามารถเทรดหุ้นได้ตามจำนวนเงินในพอร์ทที่เรามี ไม่สามารถเทรดเกินวงเงินที่มีได้</b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>การเทรดหุ้น</b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>สิ่งจำเป็นที่เราต้องเรียนรู้ก็คือ เครื่องมือ ในการเทรด ในการวิเคราะห์ ทิศทางแนวโน้ม ศัพท์เฉพาะ ศัพท์เทคนิคต่าง เราจำเป็นต้องเรียนรู้</b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>เมื่อเรามีพอร์ทแล้ว ให้เราแอดหุ้นเข้ามาในพอร์ทเรา เลือกหุ้นที่เราชอบ เราคิดว่าจะสร้างกำไรให้เราได้ เข้ามาไว้ในพอร์ท</b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>เมื่อเราเลือกเข้ามาแล้ว ให้คลิกที่คำว่า market บนสตรีมมิ่ง จากให้คลิกที่ ชื่อหุ้นตัวนั้นจะขึ้นเมนูคำสั่งซื้อ-ขายขึ้นมา ตามรูปด้านล่าง</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-IGmxk-p6LCo/WrTf9Y6WAJI/AAAAAAAAOPU/r1fI6X4XU5QzRHocPYByenECxSj1gVGGQCLcBGAs/s1600/bid.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="193" data-original-width="1049" height="117" src="https://2.bp.blogspot.com/-IGmxk-p6LCo/WrTf9Y6WAJI/AAAAAAAAOPU/r1fI6X4XU5QzRHocPYByenECxSj1gVGGQCLcBGAs/s640/bid.png" width="640" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;">ชุดเมนูคำสั่งซื้อขายบนโปรแกรมสตรีมมิ่ง</span></u></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>จากภาพ</b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>แท็ป volume ทั้งฝั่งซ้ายและขวา คือ ปริมาณหุ้นที่ต้องการซื้อต้องการขาย</b></li>
<li><b>แท็ป Bids หมายถึงฝั่งต้องการซื้อ คือยังไม่มีหุ้นในมือโดยจะมีราคาไล่จากแพงสุดลงมาหาต่ำสุด เช่น 2.94 2.92 2.90 ดังนั้นเมื่อเราต้องการหุ้นตัวนี้ที่ราคาใด ก็ต้องตั้งราคา ซื้อตามที่เราคิดว่ามันจะลงมาถึง</b></li>
<li><b>แท็ป offers หมายถึงฝั่งต้องการจะขายหุ้น คือมีหุ้นในมือแล้ว ก็จะไล่ราคาจากช่องบนสุดคือ ต่ำสุด ไปหาแพงสุด เมื่อเราต้องการขายแพงก็ตั้งราคาตามแต่ละช่อง และรอคิวจนกว่าจะถึงคิวเรา ก็จะแมทขึ้นโชว์ด้านล่างเมนูนี้</b></li>
<li><b>นอกจากนี้คนที่ไม่ต้องการรอคิว ก็สามารถ โดยนซ้ายหรือโยนขวาได้เลย อาทิ คนที่ยังไม่มีหุ้นในมือ แต่อยากได้หุ้นตัวนั้นทันที ก็สามารถตั้งคำสั่งซื้อ จำนวนหุ้นที่ต้องการซื้อ แล้ว โยนราคาฝั่งขวา ด้านบนหรือราคา ออฟเฟอร์ได้เลย เราก็จะได้หุ้นตัวนั้น</b></li>
<li><b>หรือเรามีหุ้นแล้ว ต้องการขายแต่ไม่อยากรอคิว ก็สามารถตั้งคำสั่งขาย และโยนซ้ายหรือใส่ราคา bids ได้เลย เช่นกัน</b></li>
<li><b>เมื่อฝั่งซ้ายมีการเคลื่อนไหวมากก็หมายถึงหุ้นตัวนั้น กำลังตก หรือราคาตก </b></li>
<li><b>เมื่อฝั่งขวาเคลื่อนไหวมาก หมายความว่าหุ้นตัวนั้นกำลังราคาขึ้นหรือหุ้นขึ้นนั่นเอง</b></li>
</ul>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-2NAwtcmnTAw/WrTjikW8IkI/AAAAAAAAOPg/hHcXHqCFUV0rXXUcrsNjwUwfJxoUpiRzgCLcBGAs/s1600/qh.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="511" data-original-width="1363" height="238" src="https://2.bp.blogspot.com/-2NAwtcmnTAw/WrTjikW8IkI/AAAAAAAAOPg/hHcXHqCFUV0rXXUcrsNjwUwfJxoUpiRzgCLcBGAs/s640/qh.png" width="640" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;">กราฟเทคนิคจับทิศทางหุ้นแต่ละตัว</span></u></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;"><br /></span></u></b></div>
<br />
<div style="text-align: left;">
<b><span style="color: red; font-size: large;"><u>ในกราฟจะประกอบด้วย แท่งราคา เรียกอีกอย่างว่าแท่งเทียน </u></span></b></div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>แท่งราคานี้ ถ้าเราตั้งสเกลไทม์เฟรมเป็น day แต่ละแท่งจะมีค่าเป็นหนึ่งวันตามไปด้วย</b></li>
<li><b>ถ้าเราตั้งไทม์เฟรม เป็น week month year แท่งเทียนนั้นจะเปลี่ยนค่าไปตามสเกลไทม์เฟรมที่เราตั้ง ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการให้กราฟวัดอะไร</b></li>
<li><b>นอกจากนี้ยังมีอินดิเคเตอร์ ชุดต่างๆเพื่อใช้จับสัญญาณเทคนิค ซึ่งแต่ละชุดก็จะมีการใช้ที่แตกต่างกัน และมีหลักการ มีค่า เป็นตัวเลขเฉพาะตามผู้ที่คิดค้น</b></li>
</ul>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>นอกจากนี้ยังมีส่วนละเอียดยิบย่อยอีกมากมายที่เราจะต้องใช้เวลาเรียนรู้ทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อน</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>การเทรดหุ้นไม่ได้ประสบความสำเร็จทุกคน นอกจากจะต้องมีทุน มีความรู้แล้วเรายังต้องผ่านด่านวัดใจให้ได้ ซึ่งนักลงทุนทุกคนที่เดินเข้าสู่ตลาดหุ้นจะต้องเจอ คือ ด่านวัดใจ ที่เวลาเสียมากๆแล้วรับความเสี่ยงได้หรือไม่ หรือเวลาได้และเหลิงหรือไม่</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;">นอกจากนี้เราต้องหาคำตอบให้ได้ว่า ที่เราเสียเพราะอะไร ที่เราได้เพราะอะไร</b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;"><br /></b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;">เราสามารถเทรดหุ้นมั่วๆก็ได้เงินได้ เช่น เราเห็นทิกเอกร์ เขียวแล้วเราวิ่งตาม ก็อาจได้เงิน ถ้าหุ้นตัวนั้น กำลังจะขึ้น แต่เราไม่ทราบสาเหตุว่าเราได้เพราะอะไร</b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;"><br /></b></div>
<div>
<b style="background-color: yellow;">หรือเราเห็นหุ้นเขียวเราวิ่งตามอีก แต่เราเสีย เราก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้ว่าเสียเพราะอะไร เพราะเราวิ่งตามหุ้นเขียวอย่างเดียว แต่ไม่รู้ว่า เขียวอยู่ตรงจุดไหน ระหว่างกำลังขาขึ้นหรือขึ้นจนหมดรอบแล้ว นี่คือวิธีมั่ว จะได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ไม่มีคำตอบให้ตนเองว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>ตรงกันข้ามกับคนที่มีความรู้เรื่องหุ้นตัวนั้นอย่างดี ศึกษาจนรอบด้าน ก็อาจมีได้ มีเสียเหมือนกัน</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b>แต่คนกลุ่มนี้รู้ว่าเพราะอะไร และวางเป้าหมายอย่างไร สั้นหรือยาว</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>ใ<span style="background-color: yellow; color: blue;">นตลาดหุ้นไม่มีผู้ใดเก่งที่สุด เพราะแม้แต่เจ้าของบริษัทหุ้น ก็ไม่สามารถรักษาหุ้นตัวเองไม่ให้เจ๊งได้ คนที่ประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้น คือผู้ที่ ไม่ประมาท รู้ว่าเวลาใดควรสู้ เวลาใดควรถอย อย่าดื้อแพ่ง เพราะถ้าหุ้นมันผิดทางเราต้องตัดขายขาดทุนทันที แล้วไปหากินตัวใหม่ อย่าปล่อยให้ทุนหายเยอะ แต่ก็ไม่ใช่ตัดมั่วซั่วโดยไม่มีหลักการ เช่น ซื้อหุ้นราคา 2 บาท พอลงมา 1.99 ก็ตัดขายเสียแล้ว</span></b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>หุ้นทุกตัว ต้องมีเหวี่ยง ทั้งเหวี่ยงขึ้น เหวี่ยงลง เสมอ จะไม่มีลงอย่างเดียว ขึ้นอย่างเดียว เพราะราคาเหวี่ยง ก็คือ นักลงทุน เทซื้อ เทขายนั่นเอง สิ่งสำคัญของหุ้น มิใช่ราคาหน้ากระดานอย่างเดียว แต่คือตัวหุ้น เป็นสำคัญ หมายถึง ฐานธุรกิจ ผลประกอบการ อำนาจการแข่งขัน นั่นคือตัวชี้วัดหุ้นตัวนั้น</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>ถ้าฐานดี ผลประกอบการเติบดีสม่ำเสมอ ต่อให้ราคาลง ก็จะขึ้นมายังฐานเดิม</b></li>
<li><b>หรือ ถ้าฐานไม่ดี ผลประกอบการติดลบ ต่อให้ราคาวิ่งขึ้นสุดท้ายก็จะดิ่งลงมายังฐานความเป็นจริงเหมือนเดิม</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<br />
<div style="text-align: left;">
<b>ขึ้นอยู่กับเราว่าต้องการเทรดหุ้นที่ไม่มีพื้นบานแต่ราคาวิ่งดีระยะสั้นๆ</b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>หรือต้องการเทรดหุ้นพื้นฐานดี แต่ราคาอาจไม่วิ่งมากนัก อยู่ที่จริตแต่ละคน</b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เล่นหุ้น เราเล่นกับเงินก้อนใหญ่ แม้จะเรียกติดปากว่าเล่น แต่เสียจริง ย่อยยับจริง</b></li>
<li><b>การเทรดหุ้นไม่ยากแค่ซื้อและขาย แต่ที่ยากคือเทรดหุ้นตัวไหนจึงจะสร้างความมั่งคั่งให้กับเรา </b><b>นั่นต่างหากที่ทุกคนที่จะเดินเข้าตลาดต้องเตรียมตัวและศึกษาหาความรู้</b></li>
</ul>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://ho.lazada.co.th/SHdThz?url_key=shop-media-games-music" target="_blank"><img border="0" data-original-height="1000" data-original-width="1000" height="400" src="https://2.bp.blogspot.com/-RjlqvAkguZc/W0C3BalXEkI/AAAAAAAAOQg/0y2YcYmu2WIgi338l8Em-yUn_l_d3EjNQCLcBGAs/s400/444.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><span style="color: red;">>>> <a href="http://ho.lazada.co.th/SHdTh1?web_url=https%253A%252F%252Fwww.lazada.co.th%252Fproducts%252Fsuzuki-bluemaster-harmonica-key-c-i1940833-s2239341.html%253Fspm%253Da2o4m.pdp.recommendation_1.1.756b512bsroDWo%2526mp%253D1%2526scm%253D1007.16389.99110.0%2526clickTrackInfo%253Dc1be26f9-5c5e-40c6-8774-6f67ddc2e4a5__1940833__7535__1&deeplink=lazada%3A%2F%2Fth%2Fd%3Fps%3DSU778MEBTVCVANTH-2794068" target="_blank">ฮาร์โมนิก้า สำหรับผู้รักเสียงดนตรี พกพาง่ายราคาถูกคุณภาพดี</a> <<<</span></b></div>
<br />
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>ในตลาดหุ้น มีความรู้ใหม่ๆให้เราทุกนาที</b></li>
<li><b>ในตลาดหุ้น เป็นทั้งขุมทรัพย์ และ สุสานในขณะเดียวกัน</b></li>
<li><b>ในตลาดหุ้นมีผู้แพ้และผู้ชนะในขณะเดียวกันเสมอ</b></li>
<li><b>ในตลาดหุ้นมีทุกโอกาสที่เราอยากแสวงหาให้ตัวเอง และทุกโอกาสนั้นมีความเสี่ยงควบคู่กันเสมอ</b></li>
<li><b>ในตลาดหุ้น มีทั้งเสียงร้องไห้ และเสียงหัวเราะดีใจเสมอระคนปนเปไป</b></li>
<li><b>ในตลาดหุ้นทำให้คนรวยยากจนได้ในเวลาไม่นาน และให้คนยากจนร่ำรวยได้ในเวลาไม่นานเช่นกัน</b></li>
<li><b>ในตลาดหุ้นคือสถานที่ที่มีความเท่าเทียมที่สุด โดยไม่แบ่งแยกฐานะ การศึกษา ชาติตระกูล</b></li>
<li><b>ในตลาดหุ้นไม่มีคนเก่งที่สุดและแย่ที่สุด</b></li>
<li><b>ในตลาดหุ้นเป็นทั้งที่ชุบตัว เป็นทั้งที่แสวงหาฝัน และดินแดนสิ้นหวังในที่เดียวกัน</b></li>
<li><b>ก่อนเข้าตลาดหุ้นเราต้องรู้ก่อนว่า ที่นั่นคืออะไร เขาทำอะไร เขาสู้กันด้วยอะไร และถ้าเราอยากเข้าไปก็ต้องศึกษาเรื่องเหล่านั้นให้ถ่องแท้ชัดเจน อย่าปิดตาเดินเข้าไป แล้วเราจะมีที่ยืนได้ แม้จะไม่ชนะที่หนึ่ง เราก็พอมีที่ยืนหายใจได้</b></li>
</ul>
<br />
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-rlTbUYkZ0wU/WrTVobLzzwI/AAAAAAAAOO8/wzNasZoZdlUKpJv6Uih5MKdbhjk8IfRkwCLcBGAs/s1600/2018-02-21_153808.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="738" data-original-width="1366" height="344" src="https://4.bp.blogspot.com/-rlTbUYkZ0wU/WrTVobLzzwI/AAAAAAAAOO8/wzNasZoZdlUKpJv6Uih5MKdbhjk8IfRkwCLcBGAs/s640/2018-02-21_153808.png" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-41705033828933459322017-04-10T19:38:00.002+07:002017-04-11T16:19:40.660+07:00รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2560 (ฉบับที่ 20 )<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<img border="0" height="480" src="https://2.bp.blogspot.com/-tZ09S6WjssY/WOyWLgKRG-I/AAAAAAAAONI/bxfF7gyZlagokv_jyIPGBHSnZVknho3wwCLcB/s640/IMAG0155.jpg" width="640" /></div>
<u><span style="color: blue;"><br /></span></u>
<u><span style="color: blue;"><br /></span></u>
<u><span style="color: blue;">หน้า ๑</span></u><br />
<u><span style="color: blue;">เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๔๐ ก ราชกิจจานุเบกษา ๖ เมษายน ๒๕๖๐</span></u><br />
<br />
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร<br />
<u><b style="background-color: yellow;"><span style="color: #660000;">ตราไว้ ณ วันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐</span></b></u><br />
เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัจจุบัน<br />
<br />
ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาลเป็นอดีตภาค ๒๕๖๐ พรรษา ปัจจุบันสมัย จันทรคตินิยม<br />
กุกกุฏสมพัตสร จิตรมาส ชุณหปักษ์ ทสมีดิถี สุริยคติกาล เมษายนมาส ฉัฏฐสุรทิน ครุวาร โดยกาลบริเฉท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม<br />
ให้ประกาศว่า นายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลว่า นับแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก<br />
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม<br />
พุทธศักราช ๒๔๗๕ เป็นต้นมา การปกครองของประเทศไทยได้ดำรงเจตนารมณ์ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย<br />
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อเนื่องมาโดยตลอด แม้ได้มีการยกเลิก แก้ไขเพิ่มเติม และประกาศใช้<br />
รัฐธรรมนูญเพื่อจัดระเบียบการปกครองให้เหมาะสมหลายครั้ง แต่การปกครองก็มิได้มีเสถียรภาพหรือ<br />
ราบรื่นเรียบร้อยเพราะยังคงประสบปัญหาและข้อขัดแย้งต่าง ๆ บางครั้งเป็นวิกฤติทางรัฐธรรมนูญที่หา<br />
ทางออกไม่ได้ เหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการที่มีผู้ไม่นำพาหรือไม่นับถือยำเกรงกฎเกณฑ์การปกครองบ้านเมือง<br />
ทุจริตฉ้อฉลหรือบิดเบือนอำนาจ หรือขาดความตระหนักสำนึกรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน<br />
จนทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นผล ซึ่งจำต้องป้องกันและแก้ไขด้วยการปฏิรูปการศึกษาและการบังคับใช้<br />
กฎหมาย และเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบคุณธรรมและจริยธรรม แต่เหตุอีกส่วนหนึ่งเกิดจากกฎเกณฑ์<br />
การเมืองการปกครองที่ยังไม่เหมาะสมแก่สภาวการณ์บ้านเมืองและกาลสมัย ให้ความสำคัญแก่รูปแบบ<br />
และวิธีการยิ่งกว่าหลักการพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่อาจนำกฎเกณฑ์ที่มีอยู่มาใช้แก่พฤติกรรม<br />
ของบุคคลและสถานการณ์ในยามวิกฤติที่มีรูปแบบและวิธีการแตกต่างไปจากเดิมให้ได้ผล<br />
<br />
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑)<br />
พุทธศักราช ๒๕๕๘ จึงได้บัญญัติให้มีคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อใช้เป็นหลักในการปกครอง และเป็นแนวทางในการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น โดยได้กำหนดกลไกเพื่อจัดระเบียบและสร้างความเข้มแข็งแก่การปกครองประเทศขึ้นใหม่ด้วยการจัดโครงสร้างของหน้าที่<br />
และอำนาจขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ และสัมพันธภาพระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารให้เหมาะสม<br />
<br />
การให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระอื่นซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุจริต เที่ยงธรรมและมีส่วนในการป้องกันหรือแก้ไขวิกฤติของประเทศตามความจำเป็นและความเหมาะสม การรับรอง ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยให้ชัดเจนและครอบคลุม<br />
อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยถือว่าการมีสิทธิเสรีภาพเป็นหลักการจำกัดตัดสิทธิเสรีภาพเป็นข้อยกเว้น<br />
แต่การใช้สิทธิเสรีภาพดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เพื่อคุ้มครองส่วนรวม การกำหนดให้รัฐมีหน้าที่ต่อประชาชนเช่นเดียวกับการให้ประชาชนมีหน้าที่ต่อรัฐ การวางกลไกป้องกัน ตรวจสอบ และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบที่เข้มงวด เด็ดขาด เพื่อมิให้ผู้บริหารที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล<br />
เข้ามามีอำนาจในการปกครองบ้านเมืองหรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ และการกำหนดมาตรการป้องกันและบริหารจัดการวิกฤติการณ์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนได้กำหนดกลไกอื่น ๆตามแนวทางที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ระบุไว้ เพื่อใช้เป็นกรอบ<br />
ในการพัฒนาประเทศตามแนวนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์ชาติซึ่งผู้เข้ามาบริหารประเทศแต่ละคณะจะได้กำหนดนโยบายและวิธีดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป ทั้งยังสร้างกลไกในการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆที่สำคัญและจำเป็นอย่างร่วมมือร่วมใจกัน รวมตลอดทั้งการลดเงื่อนไขความขัดแย้งเพื่อให้ประเทศมีความสงบสุข<br />
บนพื้นฐานของความรู้รักสามัคคีปรองดอง การจะดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ให้ลุล่วงไปได้ จำต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประชาชนทุกภาคส่วนกับหน่วยงานทั้งหลายของรัฐตามแนวทางประชารัฐภายใต้กฎเกณฑ์ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและประเพณีการปกครองที่เหมาะสมกับสถานการณ์และลักษณะสังคมไทย หลักความสุจริต หลักสิทธิมนุษยชน และหลักธรรมาภิบาล อันจะทำให้สามารถขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างเป็นขั้นตอนจนเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งในทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในการดำเนินการดังกล่าว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้สร้างความรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน<br />
ในหลักการและเหตุผลของบทบัญญัติต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงร่างรัฐธรรมนูญและความหมายโดยผ่านทางสื่อต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาสารัตถะของร่างรัฐธรรมนูญด้วยการเสนอแนะข้อควรแก้ไขเพิ่มเติม เมื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ก็ได้เผยแพร่<br />
ร่างรัฐธรรมนูญและคำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญโดยสรุปในลักษณะที่ประชาชนสามารถเข้าใจ<br />
เนื้อหาสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญได้โดยสะดวกและเป็นการทั่วไป และจัดให้มีการออกเสียงประชามติ<br />
<br />
เพื่อให้ความเห็นชอบแก่ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ในการนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้มีมติเสนอประเด็นเพิ่มเติมอีกประเด็นหนึ่งเพื่อให้มีการออกเสียงประชามติในคราวเดียวกันด้วย การออกเสียงประชามติปรากฏผลว่า ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติโดยคะแนนเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญและประเด็นเพิ่มเติมดังกล่าว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจึงดำเนินการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติม และได้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าเป็นการชอบด้วยผลการออกเสียงประชามติแล้วหรือไม่ ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมข้อความบางส่วน และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ<br />
ได้ดำเนินการแก้ไขตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไข<br />
เพิ่มเติม (ฉบับที่ ๔) พุทธศักราช ๒๕๖๐ บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีขอรับพระราชทานร่างรัฐธรรมนูญนั้นคืนมาแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะบางประเด็นได้ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ นายกรัฐมนตรีจึงนำร่างรัฐธรรมนูญนั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย<br />
สืบไป ทรงพระราชดำริว่าสมควรพระราชทานพระราชานุมัติจึงมีพระราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมให้ตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้<br />
ขึ้นไว้ ให้ใช้แทนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งได้ตราไว้<br />
<span style="color: #990000;">ณ วันที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗</span> ตั้งแต่วันประกาศนี้เป็นต้นไป<br />
ขอปวงชนชาวไทย จงมีความสมัครสโมสรเป็นเอกฉันท์ ในอันที่จะปฏิบัติตามและพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้ เพื่อธำรงคงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย และนำมาซึ่งความผาสุกสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคล อเนกศุภผลสกลเกียรติยศสถาพรแก่อาณาประชาราษฎรทั่วสยามรัฐสีมา สมดั่งพระราชปณิธานปรารถนาทุกประการ เทอญ<br />
<br />
<span style="color: blue;"><b>หมวด ๑</b></span><br />
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: #990000; font-size: large;">บททั่วไป</span></b></u></div>
<u><span style="color: red;">มาตรา ๑</span></u> ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้<br />
<u><span style="color: red;">มาตรา ๒ </span></u>ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์<br />
ทรงเป็นประมุข<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๓</span></b></u> อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๔</span></u></b> ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล<br />
ย่อมได้รับความคุ้มครอง<br />
<br />
ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน<br />
<br />
<u><span style="color: red;"><b>มาตรา ๕ </b></span></u>รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎหรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้<br />
<br />
เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข<br />
<br />
<b><u><span style="color: blue;">หมวด ๒</span></u></b><br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: blue; font-size: large;"><u><b>พระมหากษัตริย์</b></u></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: blue; font-size: large;"><u><b><br /></b></u></span></div>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๖</span></b></u> องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๗ </span></b></u>พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๘ </span></u></b>พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๙</span></b></u> พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาและถอดถอนฐานันดรศักดิ์และพระราชทานและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๐ </span></b></u>พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรีคนหนึ่งและองคมนตรีอื่นอีกไม่เกินสิบแปดคนประกอบเป็นคณะองคมนตรี<br />
คณะองคมนตรีมีหน้าที่ถวายความเห็นต่อพระมหากษัตริย์ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษา และมีหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๑</span></u></b> การเลือกและแต่งตั้งองคมนตรีหรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย<br />
<br />
ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานองคมนตรีหรือให้ประธานองคมนตรีพ้นจากตำแหน่ง<br />
<br />
ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งองคมนตรีอื่นหรือให้องคมนตรีอื่นพ้นจากตำแหน่ง<br />
<br />
<br />
<span style="color: blue;"><u><br /></u></span>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๒</span></b></u> องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือสมาชิกหรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง หรือข้าราชการเว้นแต่การเป็นข้าราชการในพระองค์<br />
ในตำแหน่งองคมนตรี และต้องไม่แสดงการฝักใฝ่ในพรรคการเมืองใด<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๓</span></u></b> ก่อนเข้ารับหน้าที่ องคมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์<br />
ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้<br />
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๔ </span></b></u>องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งเมื่อตาย ลาออก หรือมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๕ </span></u></b>การแต่งตั้งและการให้ข้าราชการในพระองค์พ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย<br />
<br />
การจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกฤษฎีกา<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๖</span></u></b> ในเมื่อพระมหากษัตริย์จะไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือจะทรงบริหารพระราชภาระไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม จะทรงแต่งตั้งบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะขึ้น ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือไม่ก็ได้ และในกรณีที่ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๗</span></u></b> ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์<br />
ตามมาตรา ๑๖ หรือในกรณีที่พระมหากษัตริย์ไม่สามารถทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพราะยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะหรือเพราะเหตุอื่น แต่ต่อมาคณะองคมนตรีพิจารณาเห็นว่ามีความจำเป็นสมควรแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และไม่อาจกราบบังคมทูลให้ทรงแต่งตั้งได้ทันการ ให้คณะองคมนตรีเสนอชื่อบุคคลคนหนึ่งหรือหลายคนเป็นคณะ ตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้วให้เป็นผู้สำ เร็จราชการแทนพระองค์ แล้วแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อประกาศในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่งตั้งผู้นั้นขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๘</span></u></b> ในระหว่างที่ไม่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๗ ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน<br />
ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน<br />
<br />
ในระหว่างที่ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือในระหว่างที่ประธานองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคสอง ประธานองคมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นประธานองคมนตรีมิได้ ในกรณีเช่นว่านี้ ให้คณะองคมนตรีเลือกองคมนตรีคนหนึ่งขึ้นทำหน้าที่ประธานองคมนตรีเป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๙</span></u></b> ก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามมาตรา ๑๖หรือมาตรา ๑๗ ต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมรัฐสภาด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้<br />
“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ (พระปรมาภิไธย)และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”<br />
<br />
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งและปฏิญาณตนมาแล้ว ไม่ต้องปฏิญาณตนอีก<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๐</span></b></u> ภายใต้บังคับมาตรา ๒๑ การสืบราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗<br />
<br />
การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ เมื่อมีพระราชดำริประการใด ให้คณะองคมนตรีจัดทำร่างกฎมณเฑียรบาลแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลเดิมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อมีพระราชวินิจฉัย<br />
เมื่อทรงเห็นชอบและทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ให้ประธานองคมนตรีดำเนินการแจ้งประธานรัฐสภาเพื่อให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้รัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๑</span></u></b> ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ แล้วให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ<br />
<br />
ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามมาตรา ๒๐ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้ จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว ให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป<br />
แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ<br />
<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๒ </span></b></u>ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ตามมาตรา ๒๑ ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน แต่ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงในระหว่างที่ได้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ตามมาตรา ๑๖ หรือมาตรา ๑๗ หรือระหว่างเวลาที่ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น ๆ แล้วแต่กรณี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไป ทั้งนี้ จนกว่าจะได้ประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์<br />
<br />
ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งไว้และเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไปตามวรรคหนึ่ง ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน<br />
<br />
ในกรณีที่ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวตามวรรคสอง ให้นำมาตรา ๑๘ วรรคสาม มาใช้บังคับ<br />
<span style="color: red;"><u><b><br /></b></u></span>
<span style="color: red;"><u><b>มาตรา ๒๓</b></u></span> ในกรณีที่คณะองคมนตรีจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๒๑วรรคสอง หรือประธานองคมนตรีจะต้องเป็นหรือทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือมาตรา ๒๒ วรรคสอง และอยู่ในระหว่างที่ไม่มีประธานองคมนตรีหรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้คณะองคมนตรีที่เหลืออยู่เลือกองคมนตรีคนหนึ่งเพื่อทำหน้าที่ประธานองคมนตรี หรือเป็นหรือทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง<br />
หรือวรรคสอง หรือตามมาตรา ๒๒ วรรคสอง แล้วแต่กรณี<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๔ </span></u></b>การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายพระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระทำต่อพระรัชทายาทซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วหรือต่อผู้แทนพระองค์ก็ได้<br />
<br />
ในระหว่างที่ยังมิได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตามวรรคหนึ่ง จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผู้ซึ่งต้องถวายสัตย์ปฏิญาณปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนก็ได้<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue; font-size: large;">หมวด ๓</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue; font-size: large;">สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย</span></b></u></div>
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๕</span></b></u> สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย นอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่มิได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือในกฎหมายอื่น บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำการนั้นได้และได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตราบเท่าที่การใช้สิทธิหรือเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น<br />
<br />
สิทธิหรือเสรีภาพใดที่รัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ แม้ยังไม่มีการตรากฎหมายนั้นขึ้นใช้บังคับ บุคคลหรือชุมชนย่อมสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพนั้นได้ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้<br />
<br />
บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพหรือจากการกระทำความผิดอาญาของบุคคลอื่น ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาหรือช่วยเหลือจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๖</span></u></b> การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุและจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจำเป็นในการจำกัดสิทธิ<br />
และเสรีภาพไว้ด้วย<br />
<br />
กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๗ </span></u></b>บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกันชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน<br />
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้<br />
<br />
มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพื่อคุ้มครองหรืออำนวยความสะดวกให้แก่เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการหรือผู้ด้อยโอกาส ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสามบุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรม<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๘</span></u></b> บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย<br />
การจับและการคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
การค้นตัวบุคคลหรือการกระทำใดอันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิตหรือร่างกายจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<span style="color: blue;"><u><b><br /></b></u></span>
การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๙</span></u></b> บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้<br />
<br />
ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้<br />
<br />
การควบคุมหรือคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยให้กระทำได้เพียงเท่าที่จำเป็น เพื่อป้องกันมิให้มีการหลบหนี<br />
<br />
ในคดีอาญา จะบังคับให้บุคคลให้การเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองมิได้<br />
คำขอประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาต้องได้รับการพิจารณาและจะเรียกหลักประกันจนเกินควรแก่กรณีมิได้ การไม่ให้ประกันต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๓๐</span></u></b> การเกณฑ์แรงงานจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ หรือในขณะที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงครามหรือการรบ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๓๑</span></u></b> บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน แต่ต้องไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยไม่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของรัฐ และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๓๒ </span></u></b>บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัวการกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลตามวรรคหนึ่ง หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๓๓ </span></u></b>บุคคลย่อมมีเสรีภาพในเคหสถาน<br />
การเข้าไปในเคหสถานโดยปราศจากความยินยอมของผู้ครอบครอง หรือการค้นเคหสถานหรือที่รโหฐานจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๓๔</span></u></b> บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของ<br />
ประชาชน<br />
<br />
เสรีภาพทางวิชาการย่อมได้รับความคุ้มครอง แต่การใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และต้องเคารพและไม่ปิดกั้นความเห็นต่างของบุคคลอื่น<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๓๕ </span></u></b>บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร<br />
หรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ<br />
<br />
การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง จะกระทำมิได้<br />
การให้นำข่าวสารหรือข้อความใด ๆ ที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนจัดทำขึ้นไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจก่อนนำไปโฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือสื่อใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่จะกระทำในระหว่างเวลาที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม<br />
<br />
เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย<br />
การให้เงินหรือทรัพย์สินอื่นเพื่ออุดหนุนกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นของเอกชนรัฐจะกระทำมิได้ หน่วยงานของรัฐที่ใช้จ่ายเงินหรือทรัพย์สินให้สื่อมวลชนไม่ว่าเพื่อประโยชน์ในการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ หรือเพื่อการอื่นใดในทำนองเดียวกันต้องเปิดเผยรายละเอียดให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินทราบตามระยะเวลาที่กำหนดและประกาศให้ประชาชนทราบด้วย<br />
<br />
เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพตามวรรคหนึ่ง แต่ให้คำนึงถึงวัตถุประสงค์และภารกิจของหน่วยงานที่ตนสังกัดอยู่ด้วย<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๓๖ </span></u></b>บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารถึงกันไม่ว่าในทางใด ๆ<br />
การตรวจ การกัก หรือการเปิดเผยข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกัน รวมทั้งการกระทำด้วยประการใด ๆเพื่อให้ล่วงรู้หรือได้มาซึ่งข้อมูลที่บุคคลสื่อสารถึงกันจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๓๗</span></b></u> บุคคลย่อมมีสิทธิในทรัพย์สินและการสืบมรดก<br />
ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อการอันเป็นสาธารณูปโภค การป้องกันประเทศ หรือการได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น และต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรม ภายในเวลาอันควรแก่เจ้าของตลอดจนผู้ทรงสิทธิบรรดาที่ได้รับความเสียหายจากการเวนคืน โดยคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ<br />
<br />
ผลกระทบต่อผู้ถูกเวนคืน รวมทั้งประโยชน์ที่ผู้ถูกเวนคืนอาจได้รับจากการเวนคืนนั้น<br />
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ให้กระทำเพียงเท่าที่จำเป็นต้องใช้เพื่อการที่บัญญัติไว้ในวรรคสามเว้นแต่เป็นการเวนคืนเพื่อนำอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
กฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต้องระบุวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนและกำหนดระยะเวลาการเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ให้ชัดแจ้ง ถ้ามิได้ใช้ประโยชน์เพื่อการนั้นภายในระยะเวลาที่กำหนดหรือมีอสังหาริมทรัพย์เหลือจากการใช้ประโยชน์ และเจ้าของเดิมหรือทายาทประสงค์จะได้คืน ให้คืนแก่เจ้าของเดิมหรือทายาท<br />
<br />
ระยะเวลาการขอคืนและการคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนที่มิได้ใช้ประโยชน์ หรือที่เหลือจากการใช้ประโยชน์ให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาท และการเรียกคืนค่าทดแทนที่ชดใช้ไป ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
การตรากฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์โดยระบุเจาะจงอสังหาริมทรัพย์หรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนตามความจำเป็น มิให้ถือว่าเป็นการขัดต่อมาตรา ๒๖ วรรคสอง<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๓๘</span></u></b> บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการเดินทางและการเลือกถิ่นที่อยู่<br />
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือการผังเมืองหรือเพื่อรักษาสถานภาพของครอบครัว หรือเพื่อสวัสดิภาพของผู้เยาว์<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๓๙ </span></b></u>การเนรเทศบุคคลสัญชาติไทยออกนอกราชอาณาจักร หรือห้ามมิให้ผู้มีสัญชาติไทยเข้ามาในราชอาณาจักร จะกระทำมิได้<br />
การถอนสัญชาติของบุคคลซึ่งมีสัญชาติไทยโดยการเกิด จะกระทำมิได้<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๔๐ </span></u></b>บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบอาชีพ<br />
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงหรือเศรษฐกิจของประเทศ การแข่งขันอย่างเป็นธรรม การป้องกันหรือขจัดการกีดกันหรือการผูกขาด การคุ้มครองผู้บริโภค การจัดระเบียบการประกอบอาชีพเพียงเท่าที่จำเป็น<br />
หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่นการตรากฎหมายเพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพตามวรรคสอง ต้องไม่มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติหรือก้าวก่ายการจัดการศึกษาของสถาบันการศึกษา<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๔๑</span></b></u> บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ<br />
(๑) ได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
(๒) เสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐและได้รับแจ้งผลการพิจารณาโดยรวดเร็ว<br />
(๓) ฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการพนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๔๒</span></u></b> บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหกรณ์ สหภาพ องค์กร ชุมชนหรือหมู่คณะอื่น<br />
<br />
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือเพื่อการป้องกันหรือขจัดการกีดกันหรือการผูกขาด<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๔๓</span></u></b> บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิ<br />
(๑) อนุรักษ์ ฟื้นฟู หรือส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีตประเพณีอันดีงามทั้งของท้องถิ่นและของชาติ<br />
(๒) จัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ<br />
(๓) เข้าชื่อกันเพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐให้ดำเนินการใดอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือชุมชน หรืองดเว้นการดำเนินการใดอันจะกระทบต่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุขของประชาชนหรือชุมชนและได้รับแจ้งผลการพิจารณาโดยรวดเร็ว ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาข้อเสนอแนะนั้นโดยให้<br />
ประชาชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วยตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ<br />
(๔) จัดให้มีระบบสวัสดิการของชุมชน<br />
สิทธิของบุคคลและชุมชนตามวรรคหนึ่ง หมายความรวมถึงสิทธิที่จะร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐในการดำเนินการดังกล่าวด้วย<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๔๔</span></b></u> บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ<br />
การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๔๕ </span></u></b>บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
กฎหมายตามวรรคหนึ่งอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารพรรคการเมือง ซึ่งต้องกำหนดให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกำหนดนโยบายและการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง และกำหนดมาตรการให้สามารถดำเนินการโดยอิสระไม่ถูกครอบงำหรือชี้นำ<br />
โดยบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น รวมทั้งมาตรการกำกับดูแลมิให้สมาชิกของพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๔๖</span></b></u> สิทธิของผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครอง<br />
บุคคลย่อมมีสิทธิรวมกันจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภคเพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค<br />
องค์กรของผู้บริโภคตามวรรคสองมีสิทธิรวมกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระเพื่อให้เกิดพลังในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้งอำนาจในการเป็นตัวแทนของผู้บริโภค และการสนับสนุนด้านการเงินจากรัฐ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๔๗</span></b></u> บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐ<br />
บุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย<br />
<br />
<u><i><b><span style="color: purple;"><br /></span></b></i></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๔๘</span></b></u> สิทธิของมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตรย่อมได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
บุคคลซึ่งมีอายุเกินหกสิบปีและไม่มีรายได้เพียงพอแก่การยังชีพ และบุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๔๙ </span></b></u>บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้<br />
ผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่ง ย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้<br />
ในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ หรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ผู้ร้องขอจะยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้การดำเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำการตามวรรคหนึ่ง<br />
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: #660000; font-size: large;">หมวด ๔</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: #660000; font-size: large;">หน้าที่ของปวงชนชาวไทย</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: #660000; font-size: large;"><br /></span></b></u></div>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๕๐</span></b></u> บุคคลมีหน้าที่ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข<br />
(๒) ป้องกันประเทศ พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิ ผลประโยชน์ของชาติ และสาธารณสมบัติของแผ่นดินรวมทั้งให้ความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
(๓) ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด<br />
(๔) เข้ารับการศึกษาอบรมในการศึกษาภาคบังคับ<br />
(๕) รับราชการทหารตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
(๖) เคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น และไม่กระทำการใดที่อาจก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม<br />
(๗) ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นสำคัญ<br />
(๘) ร่วมมือและสนับสนุนการอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทั้งมรดกทางวัฒนธรรม<br />
(๙) เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
(๑๐) ไม่ร่วมมือหรือสนับสนุนการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ<br />
<br />
<br />
<u><i><b><span style="color: purple;"><br /></span></b></i></u>
<br />
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: #990000; font-size: large;">หมวด ๕</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: #990000; font-size: large;">หน้าที่ของรัฐ</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: #990000; font-size: large;"><br /></span></b></u></div>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๕๑</span></b></u> การใดที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของรัฐตามหมวดนี้ ถ้าการนั้น<br />
เป็นการทำเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง ย่อมเป็นสิทธิของประชาชนและชุมชนที่จะติดตามและเร่งรัดให้รัฐดำเนินการ รวมตลอดทั้งฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดให้ประชาชนหรือชุมชนได้รับประโยชน์นั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๕๒ </span></u></b>รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูตและการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ<br />
<br />
กำลังทหารให้ใช้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้วย<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๕๓</span></u></b> รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๕๔</span></b></u> รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย<br />
<br />
รัฐต้องดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามวรรคหนึ่งเพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาให้สมกับวัย โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย<br />
<br />
รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามความต้องการในระบบต่าง ๆ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต และจัดให้มีการร่วมมือกันระหว่างรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนในการจัดการศึกษาทุกระดับ โดยรัฐมีหน้าที่ดำเนินการ กำกับ ส่งเสริม และสนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าวมีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติซึ่งอย่างน้อย<br />
ต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติ และการดำเนินการและตรวจสอบการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการศึกษาแห่งชาติด้วย<br />
<br />
การศึกษาทั้งปวงต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ สามารถเชี่ยวชาญได้ตามความถนัดของตน และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ<br />
<br />
ในการดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาตามวรรคสอง หรือให้ประชาชนได้รับการศึกษาตามวรรคสาม รัฐต้องดำเนินการให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาตามความถนัดของตน<br />
<br />
ให้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษาและเพื่อเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนหรือใช้มาตรการหรือกลไกทางภาษีรวมทั้งการให้ผู้บริจาคทรัพย์สินเข้ากองทุนได้รับประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องกำหนดให้การบริหารจัดการกองทุนเป็นอิสระและกำหนดให้มีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๕๕</span></b></u> รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงเสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนาภูมิปัญญาด้านแพทย์แผนไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุด<br />
<br />
บริการสาธารณสุขตามวรรคหนึ่ง ต้องครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุม และป้องกันโรคการรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพด้วยรัฐต้องพัฒนาการบริการสาธารณสุขให้มีคุณภาพและมีมาตรฐานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๕๖</span></b></u> รัฐต้องจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึงตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนโครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจำเป็นต่อ<br />
การดำรงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทำด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทำให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ<span style="color: blue;">ห้าสิบเอ็ด</span>มิได้<br />
<br />
การจัดหรือดำเนินการให้มีสาธารณูปโภคตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง รัฐต้องดูแลมิให้มีการเรียกเก็บค่าบริการจนเป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร<br />
การนำสาธารณูปโภคของรัฐไปให้เอกชนดำเนินการทางธุรกิจไม่ว่าด้วยประการใด ๆ รัฐต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนอย่างเป็นธรรม โดยคำนึงถึงการลงทุนของรัฐ ประโยชน์ที่รัฐและเอกชนจะได้รับและค่าบริการที่จะเรียกเก็บจากประชาชนประกอบกัน<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๕๗ รัฐต้อง</span></u></b><br />
(๑) อนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม<br />
และจารีตประเพณีอันดีงามของท้องถิ่นและของชาติ และจัดให้มีพื้นที่สาธารณะสำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องรวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ใช้สิทธิและมีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย<br />
(๒) อนุรักษ์ คุ้มครอง บำรุงรักษา ฟื้นฟู บริหารจัดการ และใช้หรือจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลและยั่งยืน โดยต้องให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมดำเนินการและได้รับประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าวด้วยตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๕๘ </span></u></b>การดำเนินการใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดำเนินการ ถ้าการนั้นอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รัฐต้องดำเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินการหรืออนุญาตตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
บุคคลและชุมชนย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยงานของรัฐก่อนการดำเนินการหรืออนุญาตตามวรรคหนึ่งในการดำเนินการหรืออนุญาตตามวรรคหนึ่ง รัฐต้องระมัดระวังให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนชุมชน สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพน้อยที่สุด และต้องดำเนินการให้มีการเยียวยา<br />
ความเดือดร้อนหรือเสียหายให้แก่ประชาชนหรือชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมและโดยไม่ชักช้า<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๕๙</span></u></b> รัฐต้องเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐหรือเป็นความลับของทางราชการตามที่กฎหมายบัญญัติ และต้องจัดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารดังกล่าวได้โดยสะดวก<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๖๐</span></u></b> รัฐต้องรักษาไว้ซึ่งคลื่นความถี่และสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมอันเป็นสมบัติของชาติ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน<br />
<br />
การจัดให้มีการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้เพื่อส่งวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม หรือเพื่อประโยชน์อื่นใด ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนความมั่นคงของรัฐ และประโยชน์สาธารณะ รวมตลอดทั้งการให้ประชาชนมีส่วนได้ใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่ด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
รัฐต้องจัดให้มีองค์กรของรัฐที่มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรับผิดชอบและกำกับการดำเนินการเกี่ยวกับคลื่นความถี่ให้เป็นไปตามวรรคสอง ในการนี้ องค์กรดังกล่าวต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จากผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือสร้างภาระแก่ผู้บริโภคเกินความจำเป็น<br />
ป้องกันมิให้คลื่นความถี่รบกวนกัน รวมตลอดทั้งป้องกันการกระทำที่มีผลเป็นการขัดขวางเสรีภาพในการรับรู้หรือปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลหรือข่าวสารที่ถูกต้องตามความเป็นจริงของประชาชน และป้องกันมิให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่โดยไม่คำนึงถึงสิทธิของประชาชนทั่วไป รวมตลอดทั้ง<br />
การกำหนดสัดส่วนขั้นต่ำที่ผู้ใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่จะต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๖๑</span></u></b> รัฐต้องจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการรู้ข้อมูลที่เป็นจริง ด้านความปลอดภัย ด้านความเป็นธรรมในการทำสัญญา หรือด้านอื่นใดอันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๖๒</span></b></u> รัฐต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ฐานะทางการเงินการคลังของรัฐมีเสถียรภาพและมั่นคงอย่างยั่งยืนตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ และจัดระบบภาษีให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม<br />
<br />
<br />
กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกรอบการดำเนินการทางการคลังและงบประมาณของรัฐ การกำหนดวินัยทางการคลังด้านรายได้และรายจ่ายทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ การบริหารทรัพย์สินของรัฐและเงินคงคลัง และการบริหารหนี้สาธารณะ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๖๓</span></u></b> รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้แก่ประชาชนถึงอันตรายที่เกิดจากการทุจริตและประพฤติมิชอบทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และจัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบดังกล่าวอย่างเข้มงวด รวมทั้งกลไกในการส่งเสริมให้ประชาชนรวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส โดยได้รับความคุ้มครอง<br />
จากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #660000; font-size: large;"><b><u>หมวด ๖</u></b></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #660000; font-size: large;"><b><u>แนวนโยบายแห่งรัฐ</u></b></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #660000; font-size: large;"><b><u><br /></u></b></span></div>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๖๔ </span></b></u>บทบัญญัติในหมวดนี้เป็นแนวทางให้รัฐดำเนินการตรากฎหมายและกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๖๕ </span></b></u>รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาลเพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆ ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว<br />
การจัดทำ การกำหนดเป้าหมาย ระยะเวลาที่จะบรรลุเป้าหมาย และสาระที่พึงมีในยุทธศาสตร์ชาติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงด้วยยุทธศาสตร์ชาติ เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๖๖ </span></b></u>รัฐพึงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศโดยถือหลักความเสมอภาคในการปฏิบัติต่อกัน และไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน ให้ความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศและคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติและของคนไทยในต่างประเทศ<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๖๗</span></u></b> รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น<br />
ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการ<br />
หรือกลไกดังกล่าวด้วย<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๖๘ </span></b></u>รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพเป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติ และให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยสะดวก รวดเร็วและไม่เสียค่าใช้จ่ายสูงเกินสมควร<br />
<br />
รัฐพึงมีมาตรการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำใด ๆ<br />
รัฐพึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จำเป็นและเหมาะสมแก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม รวมตลอดถึงการจัดหาทนายความให้<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๖๙</span></u></b> รัฐพึงจัดให้มีและส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี<br />
และศิลปวิทยาการแขนงต่าง ๆ ให้เกิดความรู้ การพัฒนา และนวัตกรรม เพื่อความเข้มแข็งของสังคมและเสริมสร้างความสามารถของคนในชาติ<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๗๐ </span></b></u>รัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวนทั้งนี้ เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๗๑</span></u></b> รัฐพึงเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวอันเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของสังคม จัดให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม ส่งเสริมและพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีจิตใจเข้มแข็ง รวมตลอดทั้งส่งเสริมและพัฒนาการกีฬาให้ไปสู่ความเป็นเลิศและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน<br />
<br />
รัฐพึงส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณภาพและความสามารถสูงขึ้น<br />
<br />
รัฐพึงให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และคุ้มครองป้องกันมิให้บุคคลดังกล่าวถูกใช้ความรุนแรงหรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม รวมตลอดทั้งให้การบำบัด ฟื้นฟูและเยียวยาผู้ถูกกระทำการดังกล่าว<br />
<br />
ในการจัดสรรงบประมาณ รัฐพึงคำนึงถึงความจำเป็นและความต้องการที่แตกต่างกันของเพศ วัยและสภาพของบุคคล ทั้งนี้ เพื่อความเป็นธรรม<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๗๒ </span></u></b>รัฐพึงดำเนินการเกี่ยวกับที่ดิน ทรัพยากรน้ำ และพลังงาน ดังต่อไปนี้<br />
(๑) วางแผนการใช้ที่ดินของประเทศให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และศักยภาพของที่ดินตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน<br />
(๒) จัดให้มีการวางผังเมืองทุกระดับและบังคับการให้เป็นไปตามผังเมืองอย่างมีประสิทธิภาพรวมตลอดทั้งพัฒนาเมืองให้มีความเจริญโดยสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่<br />
(๓) จัดให้มีมาตรการกระจายการถือครองที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทำกินได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม<br />
(๔) จัดให้มีทรัพยากรน้ำที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของประชาชน รวมทั้งการประกอบเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการอื่น<br />
(๕) ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า รวมทั้งพัฒนาและสนับสนุนให้มีการผลิตและการใช้พลังงานทางเลือกเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานอย่างยั่งยืน<br />
<br />
<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๗๓ </span></u></b>รัฐพึงจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่ช่วยให้เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้ผลผลิตที่มีปริมาณและคุณภาพสูง มีความปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนต่ำและสามารถแข่งขันในตลาดได้ และพึงช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้ให้มีที่ทำกินโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่นใด<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๗๔ </span></b></u>รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการทำงานอย่างเหมาะสมกับศักยภาพและวัยและให้มีงานทำ และพึงคุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดีในการทำงานได้รับรายได้ สวัสดิการ การประกันสังคม และสิทธิประโยชน์อื่นที่เหมาะสมแก่การดำรงชีพ และพึงจัดให้มีหรือส่งเสริมการออมเพื่อการดำรงชีพเมื่อพ้นวัยทำงาน<br />
<br />
รัฐพึงจัดให้มีระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินการ<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๗๕ </span></b></u>รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ขจัดการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม และพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประชาชนและประเทศ<br />
<br />
รัฐต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ การรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม การจัดให้มีสาธารณูปโภคหรือการจัดทำบริการสาธารณะ<br />
<br />
รัฐพึงส่งเสริม สนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่าง ๆและกิจการวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน<br />
ในการพัฒนาประเทศ รัฐพึงคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจและความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชน ประกอบกัน<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๗๖</span></u></b> รัฐพึงพัฒนาระบบการบริหารราชการแผ่นดินทั้งราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคส่วนท้องถิ่น และงานของรัฐอย่างอื่น ให้เป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยหน่วยงานของรัฐต้องร่วมมือและช่วยเหลือกันในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดิน การจัดทำบริการสาธารณะและการใช้จ่ายเงินงบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน รวมตลอดทั้งพัฒนา<br />
เจ้าหน้าที่ของรัฐให้มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีทัศนคติเป็นผู้ให้บริการประชาชนให้เกิดความสะดวก รวดเร็วไม่เลือกปฏิบัติ และปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
รัฐพึงดำเนินการให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม โดยกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ผู้ใดใช้อำนาจ หรือกระทำการโดยมิชอบที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ หรือกระบวนการแต่งตั้งหรือการพิจารณา<br />
ความดีความชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ<br />
<br />
รัฐพึงจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นหลักในการกำหนดประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานนั้น ๆ ซึ่งต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าว<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๗๗</span> </u></b>รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จำเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจำเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน และดำเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่าง ๆได้โดยสะดวกและสามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้องก่อนการตรากฎหมายทุกฉบับ รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์<br />
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ รวมทั้งเปิดเผยผลการรับฟังความคิดเห็นและการวิเคราะห์นั้นต่อประชาชน และนำมาประกอบการพิจารณาในกระบวนการตรากฎหมายทุกขั้นตอน<br />
<br />
เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว รัฐพึงจัดให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายทุกรอบระยะเวลาที่กำหนดโดยรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องประกอบด้วย เพื่อพัฒนากฎหมายทุกฉบับให้สอดคล้องและเหมาะสม<br />
กับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป<br />
<br />
รัฐพึงใช้ระบบอนุญาตและระบบคณะกรรมการในกฎหมายเฉพาะกรณีที่จำเป็น พึงกำหนดหลักเกณฑ์การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ของรัฐและระยะเวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน และพึงกำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๗๘</span></u></b> รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ การจัดทำบริการสาธารณะทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ<br />
การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมตลอดทั้งการตัดสินใจทางการเมือง และการอื่นใดบรรดาที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชนหรือชุมชน<br />
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #990000; font-size: large;"><u><b>หมวด ๗</b></u></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #990000; font-size: large;"><u><b>รัฐสภา</b></u></span></div>
<span style="background-color: yellow; color: blue;">ส่วนที่ ๑</span><br />
<span style="background-color: yellow; color: blue;">บททั่วไป</span><br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๗๙ </span></u></b>รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา<br />
รัฐสภาจะประชุมร่วมกันหรือแยกกัน ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ<br />
บุคคลจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาในขณะเดียวกันมิได้<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๘๐</span></b></u> ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภาเป็นรองประธานรัฐสภา<br />
<br />
ในกรณีที่ไม่มีประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาได้ ให้ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภาแทน<br />
ในระหว่างที่ประธานวุฒิสภาต้องทำหน้าที่ประธานรัฐสภาตามวรรคสอง แต่ไม่มีประธานวุฒิสภาและเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในระหว่างไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ให้รองประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภา<br />
<br />
ถ้าไม่มีรองประธานวุฒิสภา ให้สมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีอายุมากที่สุดในขณะนั้นทำหน้าที่ประธานรัฐสภาและให้ดำเนินการเลือกประธานวุฒิสภาโดยเร็ว<br />
ประธานรัฐสภามีหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และดำเนินกิจการของรัฐสภา ในกรณีประชุมร่วมกันให้เป็นไปตามข้อบังคับ<br />
ประธานรัฐสภาและผู้ทำหน้าที่แทนประธานรัฐสภาต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่<br />
<br />
รองประธานรัฐสภามีหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ และตามที่ประธานรัฐสภามอบหมาย<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๘๑ </span></b></u>ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ จะตราขึ้นเป็นกฎหมายได้ก็แต่โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา<br />
ภายใต้บังคับมาตรา ๑๔๕ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๘๒ </span></u></b>สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๐๑ (๓) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙)<br />
(๑๐) หรือ (๑๒) หรือมาตรา ๑๑๑ (๓) (๔) (๕) หรือ (๗) แล้วแต่กรณี และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้อง ส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงหรือไม่<br />
เมื่อได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยและเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้องตามวรรคหนึ่ง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ให้ผู้นั้น<br />
พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ไม่กระทบต่อกิจการที่ผู้นั้นได้กระทำไปก่อนพ้นจากตำแหน่ง<br />
<br />
มิให้นับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคสองเป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา<br />
ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาคนใดคนหนึ่งมีเหตุสิ้นสุดลงตามวรรคหนึ่ง ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยตามวรรคหนึ่ง<br />
ได้ด้วย<br />
<br />
<br />
<b><span style="background-color: yellow; color: blue;"><br /></span></b>
<b><span style="background-color: yellow; color: blue;">ส่วนที่ ๒</span></b><br />
<b><span style="background-color: yellow; color: blue;">สภาผู้แทนราษฎร</span></b><br />
<b><span style="background-color: yellow; color: blue;"><br /></span></b>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๘๓</span></b></u> สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน<b><span style="color: purple;">ห้าร้อยคน</span></b> ดังนี้<br />
(๑) สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน<span style="color: red;">สามร้อยห้าสิบคน</span><br />
(๒) สมาชิกซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองจำนวน<span style="color: red;">หนึ่งร้อยห้าสิบคน</span><br />
ในกรณีที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงไม่ว่าด้วยเหตุใด และยังไม่มีการเลือกตั้งหรือประกาศชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่าที่มีอยู่<br />
<br />
ในกรณีมีเหตุใด ๆ ที่ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบคนให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๘๔ </span></u></b>ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับเลือกตั้งถึง<span style="color: blue;">ร้อยละเก้าสิบห้า</span>ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดแล้ว หากมีความจำเป็นจะต้องเรียกประชุมรัฐสภาก็ให้ดำเนินการเรียกประชุมรัฐสภาได้ โดยให้ถือว่าสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่แต่ต้องดำเนินการให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ครบตามจำนวนตามมาตรา ๘๓ โดยเร็ว ในกรณีเช่นนี้<br />
ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าอายุของสภาผู้แทนราษฎรที่เหลืออยู่<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๘๕</span></u></b> สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ โดยให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้<u><span style="color: blue;">เขตละหนึ่งคน</span></u>และผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งได้คนละหนึ่งคะแนน โดยจะลงคะแนนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ใด หรือจะลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเลยก็ได้<br />
<br />
ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดและมีคะแนนสูงกว่าคะแนนเสียงที่ไม่เลือกผู้ใดเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง<br />
<br />
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการสมัครรับเลือกตั้ง การออกเสียงลงคะแนน การนับคะแนนการรวมคะแนน การประกาศผลการเลือกตั้ง และการอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยกฎหมายดังกล่าวจะกำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องยื่นหลักฐานแสดงการเสียภาษีเงินได้ประกอบการสมัครรับเลือกตั้งด้วยก็ได้<br />
ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว มีเหตุอันควรเชื่อว่าผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องตรวจสอบเบื้องต้นและประกาศผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่าหกสิบวันนับแต่วันเลือกตั้ง ทั้งนี้ การประกาศผลดังกล่าวไม่เป็นการตัดหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะดำเนินการสืบสวน ไต่สวน หรือวินิจฉัยกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง หรือการเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมไม่ว่าจะได้ประกาศผลการเลือกตั้งแล้วหรือไม่ก็ตาม<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๘๖</span></b></u> การกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีและการแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ดำเนินการตามวิธีการ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) ให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง เฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามร้อยห้าสิบคน จำนวนที่ได้รับให้ถือว่าเป็นจำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน<br />
(๒) จังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคนตาม (๑) ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดนั้นได้หนึ่งคน โดยให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง<br />
(๓) จังหวัดใดมีราษฎรเกินจำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน<br />
(๔) เมื่อได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดตาม (๒) และ (๓) แล้ว ถ้าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังไม่ครบสามร้อยห้าสิบคน จังหวัดใดมีเศษที่เหลือจากการคำนวณตาม (๓)มากที่สุด ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน และให้เพิ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามวิธีการดังกล่าวแก่จังหวัดที่มีเศษที่เหลือจากการคำนวณนั้นในลำดับรองลงมาตามลำดับจนครบจำนวนสามร้อยห้าสิบคน<br />
(๕) จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินหนึ่งคน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งเท่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมี โดยต้องแบ่งพื้นที่ของเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกันและต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๘๗</span></b></u> ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องเป็นผู้ซึ่งพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกส่งสมัครรับเลือกตั้ง และจะสมัครรับเลือกตั้งเกินหนึ่งเขตมิได้<br />
<br />
เมื่อมีการสมัครรับเลือกตั้งแล้ว ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองจะถอนการสมัครรับเลือกตั้งหรือเปลี่ยนแปลงผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เฉพาะกรณีผู้สมัครรับเลือกตั้งตายหรือขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม และต้องกระทำก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๘๘</span></u></b> ในการเลือกตั้งทั่วไป ให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแจ้งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้ง<span style="background-color: yellow;"><span style="color: magenta;">เป็นนายกรัฐมนตรี</span></span>ไม่เกิน<span style="background-color: yellow; color: blue;">สามรายชื่อ</span>ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรายชื่อบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ และให้นำความในมาตรา ๘๗ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: #0c343d;">พรรคการเมืองจะไม่เสนอรายชื่อบุคคลตามวรรคหนึ่งก็ได้</span><br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๘๙</span></b></u> การเสนอชื่อบุคคลตามมาตรา ๘๘ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) ต้องมีหนังสือยินยอมของบุคคลซึ่งได้รับการเสนอชื่อ โดยมีรายละเอียดตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด<br />
(๒) ผู้ได้รับการเสนอชื่อต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖๐ และไม่เคยทำหนังสือยินยอมตาม (๑) ให้พรรคการเมืองอื่นในการเลือกตั้งคราวนั้นการเสนอชื่อบุคคลใดที่มิได้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อบุคคลนั้น<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๙๐</span></b></u> พรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว ให้มีสิทธิส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้<br />
การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ให้พรรคการเมืองจัดทำบัญชีรายชื่อพรรคละหนึ่งบัญชีโดยผู้สมัครรับเลือกตั้งของแต่ละพรรคการเมืองต้องไม่ซ้ำกัน และไม่ซ้ำกับรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง โดยส่งบัญชีรายชื่อดังกล่าวให้คณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง<br />
<br />
การจัดทำบัญชีรายชื่อตามวรรคสอง ต้องให้สมาชิกของพรรคการเมืองมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วยโดยต้องคำนึงถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๙๑ </span></b></u>การคำนวณหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) นำคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองทุกพรรคที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งหารด้วยห้าร้อยอันเป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสภาผู้แทนราษฎร<br />
(๒) นำผลลัพธ์ตาม (๑) ไปหารจำนวนคะแนนรวมทั้งประเทศของพรรคการเมืองแต่ละพรรคที่ได้รับจากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งทุกเขต จำนวนที่ได้รับให้ถือเป็นจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้<br />
(๓) นำจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองจะพึงมีได้ตาม (๒) ลบด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมดที่พรรคการเมืองนั้นได้รับเลือกตั้งในทุกเขตเลือกตั้งผลลัพธ์คือจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองนั้นจะได้รับ<br />
(๔) ถ้าพรรคการเมืองใดมีผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่ากับหรือสูงกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม (๒) ให้พรรคการเมืองนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามจำนวนที่ได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และไม่มีสิทธิได้รับ<br />
การจัดสรรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และให้นำจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อทั้งหมดไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต่ำกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม (๒) ตามอัตราส่วน แต่ต้อง<br />
ไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดดังกล่าวมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเกินจำนวนที่จะพึงมีได้ตาม (๒)<br />
<br />
(๕) เมื่อได้จำนวนผู้ได้รับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองแล้ว ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร<br />
ในกรณีที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ใดตายภายหลังวันปิดรับสมัครรับเลือกตั้งแต่ก่อนเวลาปิดการลงคะแนนในวันเลือกตั้ง ให้นำคะแนนที่มีผู้ลงคะแนนให้มาคำนวณตาม (๑) และ (๒) ด้วย<br />
<br />
การนับคะแนน หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณ การคิดอัตราส่วน และการประกาศผลการเลือกตั้งให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๙๒</span></b></u> เขตเลือกตั้งที่ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งรายใดได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมากกว่าคะแนนเสียงที่ไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งนั้น ให้จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่และมิให้นับคะแนนที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละคนได้รับไปใช้ในการคำนวณตามมาตรา ๙๑ ในกรณีเช่นนี้ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการให้มีการรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งใหม่ โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งเดิม<br />
ทุกรายไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นใหม่นั้น<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๙๓</span></b></u> ในการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าต้องมีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ในบางเขตหรือบางหน่วยเลือกตั้งก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง หรือการเลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จ หรือยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้งครบทุกเขตเลือกตั้งไม่ว่าด้วยเหตุใด การคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคการเมืองพึงมี และจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองพึงได้รับ<br />
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
ในกรณีที่ผลการคำนวณตามวรรคหนึ่งทำให้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองใดลดลง ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นในลำดับท้ายตามลำดับพ้นจากตำแหน่ง<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๙๔</span></u></b> ภายในหนึ่งปีหลังจากวันเลือกตั้งอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ถ้าต้องมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดขึ้นใหม่ เพราะเหตุที่การเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้นำความในมาตรา ๙๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่างไม่ว่าด้วยเหตุใดภายหลังพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่วันเลือกตั้งทั่วไป มิให้มีผลกระทบกับการคำนวณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละพรรคการเมืองจะพึงมีตามมาตรา ๙๑<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๙๕ </span></u></b>บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง<br />
(๑) มีสัญชาติไทย แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี<br />
(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีในวันเลือกตั้ง<br />
<br />
(๓) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกตั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งอยู่นอกเขตเลือกตั้งที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาน้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง หรือมีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักร จะขอลงทะเบียนเพื่อออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง ณ สถานที่ และตามวันเวลา วิธีการ และเงื่อนไข<br />
ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ได้<br />
<br />
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยมิได้แจ้งเหตุอันสมควรตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อาจถูกจำกัดสิทธิบางประการตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๙๖</span></b></u> บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง<br />
(๑) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช<br />
(๒) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่<br />
(๓) ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย<br />
(๔) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๙๗ </span></u></b>บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร<br />
(๑) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด<br />
(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีนับถึงวันเลือกตั้ง<br />
(๓) เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคการเมืองเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า<u><span style="color: red;">เก้าสิบวัน</span></u>นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีการเลือกตั้งทั่วไปเพราะเหตุยุบสภาระยะเวลาเก้าสิบวันดังกล่าวให้ลดลงเหลือ<u><span style="color: red;">สามสิบวัน</span></u><br />
(๔) ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ด้วย<br />
(ก) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกัน<br />
ไม่น้อยกว่า<span style="color: red;">ห้าปี</span>นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง<br />
(ข) เป็นบุคคลซึ่งเกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง<br />
(ค) เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกัน<br />
ไม่น้อยกว่าห้าปีการศึกษา<br />
(ง) เคยรับราชการหรือปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ หรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปี<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๙๘</span></b></u> บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร<br />
(๑) ติดยาเสพติดให้โทษ<br />
(๒) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต<br />
(๓) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ<br />
<br />
(๔) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา ๙๖ (๑) (๒) หรือ (๔)<br />
(๕) อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง<br />
(๖) ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล<br />
(๗) เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ<br />
(๘) เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ<br />
(๙) เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต<br />
(๑๐) เคยต้องคำ พิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำ ความผิดต่อตำ แหน่งหน้าที่ราชการ<br />
หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญาความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดในความผิด<br />
ฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนักกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน<br />
(๑๑) เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง<br />
(๑๒) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง<br />
(๑๓) เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น<br />
(๑๔) เป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือเคยเป็นสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงยังไม่เกินสองปี<br />
(๑๕) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ<br />
(๑๖) เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ<br />
(๑๗) อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง<br />
(๑๘) เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ หรือมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม<br />
มาตรา ๙๙ อายุของสภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดคราวละสี่ปีนับแต่วันเลือกตั้ง<br />
ในระหว่างอายุของสภาผู้แทนราษฎร จะมีการควบรวมพรรคการเมืองที่มีสมาชิกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิได้<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๐๐</span></b></u> สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเริ่มตั้งแต่วันเลือกตั้ง<br />
<span style="color: red;"><u><b>มาตรา ๑๐๑</b></u></span> สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง เมื่อ<br />
<br />
(๑) ถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร<br />
(๒) ตาย<br />
(๓) ลาออก<br />
(๔) พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๙๓<br />
(๕) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๙๗<br />
(๖) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘<br />
(๗) กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๔ หรือมาตรา ๑๘๕<br />
(๘) ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก<br />
(๙) พ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกตามมติของพรรคการเมืองนั้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารของพรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัพรรคการเมืองนั้น ในกรณีเช่นนี้ ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นมิได้เข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติ ให้ถือว่าสิ้นสุด<br />
สมาชิกภาพนับแต่วันที่พ้นสามสิบวันดังกล่าว<br />
(๑๐) ขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมือง แต่ในกรณีที่ขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเพราะมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นเป็นสมาชิก และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นไม่อาจเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่มีคำสั่งยุบพรรคการเมือง ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดหกสิบวันนั้น<br />
(๑๑) พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ หรือมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม<br />
(๑๒) ขาดประชุมเกินจำนวนหนึ่งในสี่ของจำนวนวันประชุมในสมัยประชุมที่มีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานสภาผู้แทนราษฎร<br />
(๑๓) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๐๒</span></u></b> เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายใน<span style="color: red;">สี่สิบห้าวัน</span>นับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ<br />
การเลือกตั้งตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักรตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา<br />
<u><span style="color: red;">มาตรา ๑๐๓ </span></u>พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป<br />
<br />
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา และให้กระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน<br />
<br />
ภายในห้าวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ วันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๐๔ </span></u></b>ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นเหตุให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งตามวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดตามมาตรา ๑๐๒ หรือมาตรา ๑๐๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งจะกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ก็ได้ แต่ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายในสามสิบวันนับแต่วันที่เหตุดังกล่าวสิ้นสุดลง แต่เพื่อประโยชน์ในการนับอายุตามมาตรา ๙๕ (๒) และมาตรา ๙๗ (๒) ให้นับถึง<br />
วันเลือกตั้งที่กำหนดไว้ตามมาตรา ๑๐๒ หรือมาตรา ๑๐๓ แล้วแต่กรณี<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๐๕</span></b></u> เมื่อตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่างลงเพราะเหตุอื่นใด นอกจากถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) ในกรณีที่เป็นตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้ดำเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตำแหน่งที่ว่างเว้นแต่อายุของสภาผู้แทนราษฎรจะเหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวัน และให้นำความในมาตรา ๑๐๒มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
(๒) ในกรณีที่เป็นตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรประกาศให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้นเลื่อนขึ้นมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ตำแหน่งนั้นว่างลง<br />
หากไม่มีรายชื่อเหลืออยู่ในบัญชีที่จะเลื่อนขึ้นมาแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่มีอยู่<br />
<br />
สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เข้ามาแทนตาม (๑) ให้เริ่มนับแต่วันเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง ส่วนสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เข้ามาแทนตาม (๒) ให้เริ่มนับแต่วันถัดจากวันประกาศชื่อในราชกิจจานุเบกษา และให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เข้ามาแทนตำแหน่งที่ว่างนั้นอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าอายุของสภาผู้แทนราษฎรที่เหลืออยู่<br />
<br />
การคำนวณสัดส่วนคะแนนของพรรคการเมืองสำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อเมื่อมีการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้เป็นไปตามมาตรา ๙๔<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๐๖ </span></b></u>ภายหลังที่คณะรัฐมนตรีเข้าบริหารราชการแผ่นดินแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรที่มีจำนวนสมาชิกมากที่สุด และสมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
ในกรณีที่พรรคการเมืองตามวรรคหนึ่ง มีสมาชิกเท่ากัน ให้ใช้วิธีจับสลาก<br />
ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรย่อมพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติตามวรรคหนึ่ง หรือเมื่อมีเหตุตามมาตรา ๑๑๘ (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) ในกรณีเช่นนี้ พระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;">ส่วนที่ ๓</span></u></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;">วุฒิสภา</span></u></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;"><br /></span></u></b></div>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๐๗</span></b></u> วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนสองร้อยคน ซึ่งมาจากการเลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทำงานหรือเคยทำงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม โดยในการแบ่งกลุ่มต้องแบ่งในลักษณะที่ทำให้ประชาชนซึ่งมีสิทธิสมัครรับเลือกทุกคนสามารถอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้<br />
<br />
การแบ่งกลุ่ม จำนวนกลุ่ม และคุณสมบัติของบุคคลในแต่ละกลุ่ม การสมัครและรับสมัครหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกกันเอง การได้รับเลือก จำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่จะพึงมีจากแต่ละกลุ่มการขึ้นบัญชีสำรอง การเลื่อนบุคคลจากบัญชีสำรองขึ้นดำรงตำแหน่งแทน และมาตรการอื่นใดที่จำเป็นเพื่อให้การเลือกกันเองเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา และเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการให้การเลือกดังกล่าวเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จะกำหนดมิให้ผู้สมัครในแต่ละกลุ่มเลือกบุคคลในกลุ่มเดียวกัน หรือจะกำหนดให้มีการคัดกรองผู้สมัครรับเลือกด้วยวิธีการอื่นใดที่ผู้สมัครรับเลือกมีส่วนร่วมในการคัดกรองก็ได้<br />
<br />
การดำเนินการตามวรรคสอง ให้ดำเนินการตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยในระดับประเทศ<br />
ในกรณีที่ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่ครบตามวรรคหนึ่ง ไม่ว่าเพราะเหตุตำแหน่งว่างลงหรือด้วยเหตุอื่นใดอันมิใช่เพราะเหตุถึงคราวออกตามอายุของวุฒิสภา และไม่มีรายชื่อบุคคลที่สำรองไว้เหลืออยู่ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาเท่าที่มีอยู่ แต่ในกรณีที่มีสมาชิกวุฒิสภาเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดและอายุของวุฒิสภาเหลืออยู่เกินหนึ่งปี ให้ดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภาขึ้นแทนภายในหกสิบวันนับแต่วันที่วุฒิสภามีสมาชิกเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ในกรณีเช่นว่านี้ ให้ผู้ได้รับเลือกดังกล่าวอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าอายุของวุฒิสภาที่เหลืออยู่<br />
<br />
การเลือกสมาชิกวุฒิสภาให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา และภายในห้าวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดวันเริ่มดำเนินการเพื่อเลือกไม่ช้ากว่าสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ การกำหนดดังกล่าวให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้นำความใน<br />
มาตรา ๑๐๔ มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๐๘ </span></u></b>สมาชิกวุฒิสภาต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้<br />
ก. คุณสมบัติ<br />
(๑) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด<br />
<br />
(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีในวันสมัครรับเลือก<br />
(๓) มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ หรือทำงานในด้านที่สมัครไม่น้อยกว่าสิบปีหรือเป็นผู้มีลักษณะตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา<br />
(๔) เกิด มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ทำงาน หรือมีความเกี่ยวพันกับพื้นที่ที่สมัครตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา<br />
ข. ลักษณะต้องห้าม<br />
(๑) เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา ๙๘ (๑) (๒) (๓) (๔)<br />
(๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑) (๑๕) (๑๖) (๑๗) หรือ (๑๘)<br />
(๒) เป็นข้าราชการ<br />
(๓) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นสมาชิก<br />
สภาผู้แทนราษฎรมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือก<br />
(๔) เป็นสมาชิกพรรคการเมือง<br />
(๕) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เว้นแต่ได้พ้นจากการดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือก<br />
(๖) เป็นหรือเคยเป็นรัฐมนตรี เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นรัฐมนตรีมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือก<br />
(๗) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เว้นแต่ได้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันสมัครรับเลือก<br />
(๘) เป็นบุพการี คู่สมรส หรือบุตรของผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา<br />
ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาในคราวเดียวกันหรือผู้ดำรงตำแหน่งในศาลรัฐธรรมนูญหรือในองค์กรอิสระ<br />
(๙) เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญนี้<br />
<b><u><span style="color: red;"><br /></span></u></b>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๐๙ </span></u></b>อายุของวุฒิสภามีกำหนดคราวละห้าปีนับแต่วันประกาศผลการเลือก<br />
สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาเริ่มตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกเมื่ออายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลง ให้สมาชิกวุฒิสภาอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภาขึ้นใหม่<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๑๐</span></b></u> เมื่ออายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลง ให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภาใหม่ตามมาตรา ๑๐๗วรรคห้า<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๑๑</span></u></b> สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง เมื่อ<br />
(๑) ถึงคราวออกตามอายุของวุฒิสภา<br />
(๒) ตาย<br />
<br />
(๓) ลาออก<br />
(๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๐๘<br />
(๕) ขาดประชุมเกินจำนวนหนึ่งในสี่ของจำนวนวันประชุมในสมัยประชุมที่มีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานวุฒิสภา<br />
(๖) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท<br />
(๗) กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๑๓ หรือกระทำการอันต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๔หรือมาตรา ๑๘๕<br />
(๘) พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔ หรือมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม<br />
มาตรา ๑๑๒ บุคคลผู้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแล้วยังไม่เกินสองปี จะเป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมิได้ เว้นแต่เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๑๓ </span></b></u>สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ๆ<br />
<br />
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;">ส่วนที่ ๔</span></u></b><br />
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;">บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง</span></u></b><br />
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;"><br /></span></u></b>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๑๔ </span></b></u>สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใด ๆ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๑๕</span></b></u> ก่อนเข้ารับหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้<br />
“ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๑๖</span></b></u> สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแต่ละสภา มีประธานสภาคนหนึ่งและรองประธานสภาคนหนึ่งหรือสองคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมาชิกแห่งสภานั้น ๆ ตามมติของสภาในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นกรรมการบริหารหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองขณะเดียวกันมิได้<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๑๗ </span></b></u>ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรดำรงตำแหน่งจนสิ้นอายุของสภาผู้แทนราษฎรหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
ประธานและรองประธานวุฒิสภาดำรงตำแหน่งจนถึงวันสิ้นอายุของวุฒิสภา เว้นแต่ในระหว่างเวลาตามมาตรา ๑๐๙ วรรคสาม ให้ประธานและรองประธานวุฒิสภายังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๑๘</span></b></u> ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานและรองประธานวุฒิสภาย่อมพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระตามมาตรา ๑๑๗ เมื่อ<br />
(๑) ขาดจากสมาชิกภาพแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก<br />
(๒) ลาออกจากตำแหน่ง<br />
(๓) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือข้าราชการการเมืองอื่น<br />
(๔) ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นกรณีที่คดียังไม่ถึงที่สุดหรือมีการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษหรือความผิดฐานหมิ่นประมาท<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๑๙ </span></b></u>ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภามีหน้าที่และอำนาจดำเนินกิจการของสภานั้น ๆ ให้เป็นไปตามข้อบังคับ รองประธานสภามีหน้าที่และอำนาจตามที่ประธานสภามอบหมายและปฏิบัติหน้าที่แทนประธานสภาเมื่อประธานสภาไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้<br />
<br />
ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา และผู้ทำหน้าที่แทน ต้องวางตนเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่<br />
<br />
เมื่อประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือประธานและรองประธานวุฒิสภาไม่อยู่ในที่ประชุมให้สมาชิกแห่งสภานั้น ๆ เลือกกันเองให้สมาชิกคนหนึ่งเป็นประธานในคราวประชุมนั้น<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๒๐</span></b></u> การประชุมสภาผู้แทนราษฎรและการประชุมวุฒิสภาต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา จึงจะเป็นองค์ประชุม เว้นแต่ในกรณีการพิจารณาระเบียบวาระกระทู้ สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะกำหนดองค์ประชุมไว้ในข้อบังคับเป็นอย่างอื่นก็ได้<br />
<br />
การลงมติวินิจฉัยข้อปรึกษาให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญสมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลคะแนน ถ้ามีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด<br />
<br />
รายงานการประชุมและบันทึกการออกเสียงลงคะแนนของสมาชิกแต่ละคนต้องเปิดเผยให้ประชาชนทราบได้ทั่วไป เว้นแต่กรณีการประชุมลับหรือการออกเสียงลงคะแนนเป็นการลับ<br />
<br />
การออกเสียงลงคะแนนเลือกหรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งใด ให้กระทำเป็นการลับเว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๒๑</span></b></u> ภายใน<span style="background-color: yellow; color: blue;">สิบห้าวัน</span>นับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ให้มีการ<span style="background-color: yellow; color: blue;">เรียกประชุมรัฐสภา</span>เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก<br />
<br />
ในปีหนึ่งให้มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภา<span style="color: magenta;">สองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน</span>แต่พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ขยายเวลาออกไปก็ได้<br />
<br />
การปิดสมัยประชุมสามัญประจำปีก่อนครบกำหนดเวลา<span style="color: blue;">หนึ่งร้อยยี่สิบวัน</span> จะกระทำได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของรัฐสภา<br />
<br />
วันประชุมครั้งแรกตามวรรคหนึ่ง ให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่งส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด แต่ในกรณีที่การประชุมครั้งแรกตามวรรคหนึ่งมีเวลาจนถึงสิ้นปีปฏิทินไม่เพียงพอที่จะจัดให้มีการประชุมสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง จะไม่มีการประชุมสมัยสามัญประจำปีครั้งที่สองสำหรับปีนั้นก็ได้<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๒๒ </span></u></b>พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา ทรงเปิดและทรงปิดประชุม<br />
พระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งแรกด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้ใดผู้หนึ่ง เป็นผู้แทนพระองค์ มาทำรัฐพิธีก็ได้<br />
<br />
เมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พระมหากษัตริย์จะทรงเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญก็ได้<br />
<br />
ภายใต้บังคับมาตรา ๑๒๓ และมาตรา ๑๒๖ การเรียกประชุม การขยายเวลาประชุม และการปิดประชุมรัฐสภา ให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๒๓</span></u></b> สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาทั้งสองสภารวมกัน หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภามีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้<br />
<br />
ให้ประธานรัฐสภานำความกราบบังคมทูลและลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ<br />
<br />
<span style="color: red;"><u>มาตรา ๑๒๔</u></span> ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาสมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคำใดในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนนย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนำไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใด ๆ มิได้<br />
<br />
เอกสิทธิ์ตามวรรคหนึ่งไม่คุ้มครองสมาชิกผู้กล่าวถ้อยคำในการประชุมที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางอื่นใด หากถ้อยคำที่กล่าวในที่ประชุมไปปรากฏนอกบริเวณรัฐสภาและการกล่าวถ้อยคำนั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้น<br />
<br />
ในกรณีตามวรรคสอง ถ้าสมาชิกกล่าวถ้อยคำใดที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้นได้รับความเสียหาย ให้ประธานแห่งสภานั้นจัดให้มีการโฆษณาคำชี้แจงตามที่บุคคลนั้นร้องขอตามวิธีการและภายในระยะเวลาที่กำหนดในข้อบังคับการประชุมของสภานั้น ทั้งนี้ โดยไม่กระทบต่อสิทธิของบุคคลในการฟ้องคดีต่อศาล<br />
<br />
เอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ย่อมคุ้มครองไปถึงผู้พิมพ์และผู้โฆษณารายงานการประชุมตามข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา แล้วแต่กรณี และคุ้มครองไปถึงบุคคลซึ่งประธานในที่ประชุมอนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ตลอดจนผู้ดำเนินการถ่ายทอดการประชุมสภาทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางอื่นใดซึ่งได้รับอนุญาตจากประธานแห่งสภานั้นด้วยโดยอนุโลม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๒๕</span></u></b> ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิก<br />
สภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาไปทำการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นการจับในขณะกระทำความผิด<br />
ในกรณีที่มีการจับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในขณะกระทำความผิดให้รายงานไปยังประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกโดยพลัน และเพื่อประโยชน์ในการประชุมสภาประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกอาจสั่งให้ปล่อยผู้ถูกจับเพื่อให้มาประชุมสภาได้<br />
<br />
ถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาถูกคุมขังในระหว่างสอบสวนหรือพิจารณาอยู่ก่อนสมัยประชุม เมื่อถึงสมัยประชุม พนักงานสอบสวนหรือศาล แล้วแต่กรณี ต้องสั่งปล่อยทันทีถ้าประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกได้ร้องขอ โดยศาลจะสั่งให้มีประกันหรือมีประกันและหลักประกันด้วยหรือไม่ก็ได้<br />
<br />
ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุม ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมก็ได้ แต่ต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๒๖</span></b></u> ในระหว่างที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าด้วยเหตุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบ หรือเหตุอื่นใด จะมีการประชุมวุฒิสภามิได้ เว้นแต่<br />
(๑) มีกรณีที่รัฐสภาต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๙ มาตรา ๒๐ มาตรา ๒๑<br />
หรือมาตรา ๑๗๗<br />
(๒) มีกรณีที่วุฒิสภาต้องประชุมเพื่อทำหน้าที่พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งใดตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
เมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง ให้วุฒิสภาดำเนินการประชุมได้ โดยให้ประธานวุฒิสภานำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ และให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ<br />
<br />
ในกรณีตาม (๑) ให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภา แต่การให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๗ ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๒๗</span></b></u> การประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา และการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ย่อมเป็นการเปิดเผยตามลักษณะที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมแต่ละสภา แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกของแต่ละสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา แล้วแต่กรณี<br />
ร้องขอให้ประชุมลับ ก็ให้ประชุมลับ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๒๘</span></b></u> สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอำนาจตราข้อบังคับการประชุมเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด การปฏิบัติหน้าที่และองค์ประชุมของคณะกรรมาธิการ วิธีการประชุมการเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติการปรึกษา การอภิปราย การลงมติ การบันทึกการลงมติ การเปิดเผยการลงมติ การตั้งกระทู้ถามการเปิดอภิปรายทั่วไป การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย และการอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีอำนาจตราข้อบังคับเกี่ยวกับประมวลจริยธรรมของสมาชิกและกรรมาธิการ และกิจการอื่นเพื่อดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
ในข้อบังคับตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยว่ามีสาระสำคัญเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือคนพิการหรือทุพพลภาพ ต้องกำหนดให้บุคคลประเภทดังกล่าวหรือผู้แทนองค์กรเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับบุคคลประเภทนั้นโดยตรง ร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการวิสามัญ<br />
ทั้งหมด และในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอ ต้องกำหนดให้ผู้แทนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมาธิการวิสามัญทั้งหมด<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๒๙ </span></u></b>สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีอำนาจเลือกสมาชิกของแต่ละสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ และมีอำนาจเลือกบุคคลผู้เป็นสมาชิกหรือมิได้เป็นสมาชิก ตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ หรือคณะกรรมาธิการร่วมกันตามมาตรา ๑๓๗ เพื่อกระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องใด ๆ และรายงานให้สภาทราบตามระยะเวลาที่สภากำหนด<br />
<br />
การกระทำกิจการ การสอบหาข้อเท็จจริง หรือการศึกษาตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของสภา และหน้าที่และอำนาจตามที่ระบุไว้ในการตั้งคณะกรรมาธิการก็ดี ในการดำเนินการของคณะกรรมาธิการก็ดี ต้องไม่เป็นเรื่องซ้ำซ้อนกัน ในกรณีที่การกระทำกิจการ การสอบหาข้อเท็จจริงหรือการศึกษาในเรื่องใดมีความเกี่ยวข้องกัน ให้เป็นหน้าที่ของประธานสภาที่จะต้องดำเนินการให้คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องทุกชุดร่วมกันดำเนินการ<br />
<br />
ในการสอบหาข้อเท็จจริง คณะกรรมาธิการจะมอบอำนาจหรือมอบหมายให้บุคคลหรือคณะบุคคลใดกระทำการแทนมิได้<br />
<br />
คณะกรรมาธิการตามวรรคหนึ่งมีอำนาจเรียกเอกสารจากบุคคลใด หรือเรียกบุคคลใดมาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความเห็นในกิจการที่กระทำหรือในเรื่องที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาอยู่นั้นได้แต่การเรียกเช่นว่านั้นมิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพากษาหรือตุลาการที่ปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในกระบวนวิธีพิจารณาพิพากษาอรรถคดี หรือการบริหารงานบุคคลของแต่ละศาล และมิให้ใช้บังคับแก่ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจโดยตรงในแต่ละองค์กรตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ แล้วแต่กรณี<br />
<br />
ให้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในกิจการที่คณะกรรมาธิการสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาที่จะต้องสั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดหรือในกำกับ ให้ข้อเท็จจริง ส่งเอกสาร หรือแสดงความเห็นตามที่คณะกรรมาธิการเรียก<br />
<br />
ให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเปิดเผยบันทึกการประชุม รายงานการดำเนินการ รายงานการสอบหาข้อเท็จจริง หรือรายงานการศึกษา แล้วแต่กรณี ของคณะกรรมาธิการให้ประชาชนทราบเว้นแต่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี มีมติมิให้เปิดเผย<br />
<br />
เอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒๔ ให้คุ้มครองถึงบุคคลผู้กระทำหน้าที่และผู้ปฏิบัติตามคำเรียกตามมาตรานี้ด้วย<br />
<br />
กรรมาธิการสามัญซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ต้องมีจำนวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละพรรคการเมืองที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
ในระหว่างที่ยังไม่มีข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๑๒๘ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้กำหนดอัตราส่วนตามวรรคแปด<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๓๐</span></u></b> ให้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร<br />
(๒) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา<br />
(๓) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง<br />
(๔) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง<br />
(๕) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน<br />
(๖) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต<br />
(๗) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
(๘) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ<br />
(๙) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง<br />
(๑๐) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๓๑</span></u></b> ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะเสนอได้ก็แต่โดย<br />
(๑) คณะรัฐมนตรี โดยข้อเสนอแนะของศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง<br />
(๒) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๓๒</span></u></b> ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ นอกจากที่บัญญัติไว้ดังต่อไปนี้ให้กระทำเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติ<br />
<br />
(๑) การเสนอร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้เสนอต่อรัฐสภา และให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันโดยการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สาม ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิก<br />
ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา ถ้าที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบตามร่างที่เสนอตามมาตรา ๑๓๑<br />
(๒) ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญให้รัฐสภาส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นไปยังศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความเห็น ในกรณีที่ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง ไม่มีข้อทักท้วงภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่างดังกล่าว ให้รัฐสภาดำเนินการต่อไป<br />
(๓) ในกรณีที่ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้อง เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบมีข้อความใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้ ให้เสนอความเห็นไปยังรัฐสภาและให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว<br />
ในการนี้ ให้รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมตามข้อเสนอของศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระตามที่เห็นสมควรได้ และเมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ให้รัฐสภาดำเนินการต่อไป<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๓๓</span></u></b> ร่างพระราชบัญญัติให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน และจะเสนอได้ก็แต่โดย<br />
(๑) คณะรัฐมนตรี<br />
(๒) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ายี่สิบคน<br />
(๓) ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามหมวด ๓<br />
สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย หรือหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย<br />
<br />
ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม (๒) หรือ (๓) เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๓๔</span></b></u> ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน หมายความถึงร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้<br />
(๑) การตั้งขึ้น ยกเลิก ลด เปลี่ยนแปลง แก้ไข ผ่อน หรือวางระเบียบการบังคับอันเกี่ยวกับภาษีหรืออากร<br />
(๒) การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการโอนงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน<br />
(๓) การกู้เงิน การค้ำประกัน การใช้เงินกู้ หรือการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ<br />
(๔) เงินตรา<br />
<br />
ในกรณีที่เป็นที่สงสัยว่าร่างพระราชบัญญัติใดเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ให้เป็นอำนาจของที่ประชุมร่วมกันของประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎร<br />
ทุกคณะเป็นผู้วินิจฉัย<br />
<br />
ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรจัดให้มีการประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณากรณีตามวรรคสองภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่มีกรณีดังกล่าว<br />
<br />
มติของที่ประชุมร่วมกันตามวรรคสอง ให้ใช้เสียงข้างมากเป็นประมาณ ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๓๕ </span></u></b>ร่างพระราชบัญญัติใดที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอและในชั้นรับหลักการไม่เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน แต่สภาผู้แทนราษฎรได้แก้ไขเพิ่มเติมและประธานสภาผู้แทนราษฎรเห็นเองหรือมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทักท้วงต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นทำให้มีลักษณะเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรสั่งระงับการพิจารณาไว้ก่อน เพื่อดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๓๔ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่<br />
<br />
ในกรณีที่ที่ประชุมร่วมกันตามวรรคหนึ่งวินิจฉัยว่า การแก้ไขเพิ่มเติมทำให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นมีลักษณะเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นไปให้นายกรัฐมนตรีรับรอง ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ให้คำรับรอง ให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการแก้ไขเพื่อมิให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๓๖</span></b></u> เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติและลงมติเห็นชอบแล้วให้สภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภา วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอมานั้นให้เสร็จภายในหกสิบวัน แต่ถ้าร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินต้องพิจารณาให้เสร็จภายในสามสิบวัน ทั้งนี้ เว้นแต่วุฒิสภาจะได้ลงมติให้ขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษ<br />
ซึ่งต้องไม่เกินสามสิบวัน กำหนดวันดังกล่าวให้หมายถึงวันในสมัยประชุม และให้เริ่มนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินั้นมาถึงวุฒิสภา<br />
<br />
ระยะเวลาในวรรคหนึ่ง ไม่ให้นับรวมระยะเวลาที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๑๓๙<br />
<br />
ถ้าวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติไม่เสร็จภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัตินั้น<br />
<br />
ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินไปยังวุฒิสภา ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรแจ้งให้วุฒิสภาทราบและให้ถือเป็นเด็ดขาด หากมิได้แจ้ง ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นไม่เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๓๗</span></u></b> เมื่อวุฒิสภาได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติเสร็จแล้ว<br />
(๑) ถ้าเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑<br />
<br />
(๒) ถ้าไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อนและส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร<br />
(๓) ถ้าแก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติตามที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นไปยังสภาผู้แทนราษฎรถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติม ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑ ถ้าเป็นกรณีอื่นให้แต่ละสภาตั้งบุคคลซึ่งเป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกแห่งสภานั้น ๆ มีจำนวนเท่ากันตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนดประกอบเป็นคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้น และให้คณะกรรมาธิการร่วมกันรายงานและเสนอร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันได้พิจารณาแล้วต่อสภาทั้งสอง ถ้าสภาทั้งสองต่างเห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันได้พิจารณาแล้ว ให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑ ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบด้วย ไม่ว่าอีกสภาหนึ่งจะได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้น<br />
แล้วหรือไม่ ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อน<br />
<br />
การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมกันต้องมีกรรมาธิการของสภาทั้งสองมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม และให้นำความในมาตรา ๑๕๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
ถ้าวุฒิสภาไม่ส่งร่างพระราชบัญญัติคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๓๖ให้ถือว่าวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบในร่างพระราชบัญญัตินั้น และให้ดำเนินการตามมาตรา ๘๑ ต่อไป<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๓๘</span></u></b> สภาผู้แทนราษฎรจะยกร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้ตามมาตรา ๑๓๗ขึ้นพิจารณาใหม่ได้เมื่อพ้นหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่<br />
(๑) วันที่วุฒิสภาส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎรสำหรับกรณีการยับยั้งตามมาตรา ๑๓๗ (๒)<br />
(๒) วันที่สภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบด้วย สำหรับกรณีการยับยั้งตามมาตรา ๑๓๗ (๓)ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันร่างที่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรหรือร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาและให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑<br />
<br />
ภายใต้บังคับมาตรา ๑๔๓ วรรคสี่ ระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสิบวันตามวรรคหนึ่ง ให้ลดเหลือสิบวันในกรณีร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้นั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๓๙ </span></u></b>ในระหว่างที่มีการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติใดตามมาตรา ๑๓๗ คณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเสนอร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้มิได้<br />
ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติที่เสนอหรือส่งให้พิจารณานั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้ ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือประธานวุฒิสภาส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นร่างพระราชบัญญัติที่มีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติที่ต้องยับยั้งไว้ ให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๔๐ </span></b></u>การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง หรือกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ เว้นแต่ในกรณีจำเป็นรีบด่วนจะจ่ายไปก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ในกรณีเช่นว่านี้ ต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายชดใช้ในพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายหรือพระราชบัญญัติงบประมาณ<br />
รายจ่ายเพิ่มเติม หรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๔๑</span></b></u> งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินให้ทำเป็นพระราชบัญญัติ ถ้าพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณออกไม่ทันปีงบประมาณใหม่ ให้ใช้กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณปีก่อนนั้นไปพลางก่อน<br />
<br />
รัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอกับการปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระของรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระและองค์กรอัยการ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐในกรณีที่เห็นว่างบประมาณที่ได้รับจัดสรรอาจไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระหรือองค์กรอัยการจะยื่นคำขอแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการโดยตรงก็ได้<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๔๒</span></b></u> ในการเสนอร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต้องแสดงแหล่งที่มาและประมาณการรายได้ ผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการจ่ายเงินและความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาต่าง ๆ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ<br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>มาตรา ๑๔๓</b></u> </span>ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย สภาผู้แทนราษฎรจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าวันนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาถึงสภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
ถ้าสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งให้ถือว่าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัตินั้น และให้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณา<br />
<br />
ในการพิจารณาของวุฒิสภา วุฒิสภาจะต้องให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายในยี่สิบวันนับแต่วันที่ร่างพระราชบัญญัตินั้นมาถึงวุฒิสภา โดยจะแก้ไขเพิ่มเติมใด ๆ มิได้ ถ้าพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่าวุฒิสภาเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัตินั้น ในกรณีเช่นนี้และในกรณีที่วุฒิสภาให้ความเห็นชอบให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑<br />
<br />
ถ้าวุฒิสภาไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้นำความในมาตรา ๑๓๘ วรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยให้สภาผู้แทนราษฎรยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทันที<br />
<br />
ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งและวรรคสาม มิให้นับรวมระยะเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามมาตรา ๑๔๔ วรรคสาม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๔๔ </span></u></b>ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่ายสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการมิได้แต่อาจแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายตามข้อผูกพันอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) เงินส่งใช้ต้นเงินกู้<br />
(๒) ดอกเบี้ยเงินกู้<br />
(๓) เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย<br />
<br />
ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกรรมาธิการ การเสนอ การแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการมีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย จะกระทำมิได้<br />
<br />
ในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา เห็นว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคสองให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา และศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นดังกล่าว ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีการกระทำที่ฝ่าฝืบทบัญญัติตามวรรคสอง ให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล ถ้าผู้กระทำการดังกล่าวเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้กระทำการนั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น แต่ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้กระทำการหรืออนุมัติให้กระทำการหรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าวแล้วแต่มิได้สั่งยับยั้ง ให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติ และให้ผู้กระทำการดังกล่าวต้องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมด้วยดอกเบี้ย<br />
<br />
เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดจัดทำโครงการหรืออนุมัติหรือจัดสรรเงินงบประมาณโดยรู้ว่ามีการดำเนินการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ถ้าได้บันทึกข้อโต้แย้งไว้เป็นหนังสือหรือมีหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบ ให้พ้นจากความรับผิด<br />
<br />
การเรียกเงินคืนตามวรรคสามหรือวรรคสี่ ให้กระทำได้ภายในยี่สิบปีนับแต่วันที่มีการจัดสรรงบประมาณนั้น<br />
<br />
ในกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติได้รับแจ้งตามวรรคสี่ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการสอบสวนเป็นทางลับโดยพลันหากเห็นว่ากรณีมีมูล ให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการต่อไปตามวรรคสาม และไม่ว่า<br />
<br />
กรณีจะเป็นประการใด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและศาลรัฐธรรมนูญหรือบุคคลใดจะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้แจ้งมิได้<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๔๕</span></b></u> ร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีรอไว้ห้าวันนับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้นจากรัฐสภา ถ้าไม่มีกรณีต้องดำเนินการตามมาตรา ๑๔๘ให้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายในยี่สิบวันนับแต่วันพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๔๖</span></u></b> ร่างพระราชบัญญัติใด พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายังรัฐสภา หรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา รัฐสภาจะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันตามเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยพระราชทานคืนมาภายในสามสิบวัน ให้นายกรัฐมนตรีนำพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๔๗</span></b></u> ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบ หรือที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วแต่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วย หรือเมื่อพ้นเก้าสิบวันแล้วมิได้พระราชทานคืนมาให้เป็นอันตกไป<br />
<br />
บรรดาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบที่ตกไปตามวรรคหนึ่ง ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอต่อรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี พิจารณาต่อไป ถ้ารัฐสภาเห็นชอบด้วยก็ให้รัฐสภาสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี พิจารณาต่อไปได้ แต่คณะรัฐมนตรีต้องร้องขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๔๘</span></b></u> ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัติใดขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยตามมาตรา ๘๑<br />
<br />
(๑) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา หรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี แล้วให้ประธาน<br />
แห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า<br />
<br />
(๒) หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ให้ส่งความเห็นเช่นว่านั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย และแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักช้า<br />
<br />
ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยมิได้<br />
<br />
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป<br />
<br />
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่มิใช่กรณีตามวรรคสาม ให้ข้อความที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป และให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๔๙ </span></b></u>ให้นำความในมาตรา ๑๔๘ มาใช้บังคับแก่ร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรร่างข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา และร่างข้อบังคับการประชุมรัฐสภาที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภาแล้วแต่กรณี ให้ความเห็นชอบแล้ว ก่อนนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วยโดยอนุโลม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๕๐</span></u></b> สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภามีสิทธิตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีในเรื่องใดเกี่ยวกับงานในหน้าที่โดยจะถามเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาก็ได้ ตามข้อบังคับการประชุมแห่งสภานั้น ๆ ซึ่งอย่างน้อยต้องกำหนดให้มีการตั้งกระทู้ถามด้วยวาจาโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้าไว้ด้วยรัฐมนตรีย่อมมีสิทธิที่จะไม่ตอบกระทู้เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเรื่องนั้นยังไม่ควรเปิดเผยเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๕๑ </span></b></u>สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะ<br />
<br />
เมื่อได้มีการเสนอญัตติตามวรรคหนึ่งแล้ว จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้นแต่จะมีการถอนญัตติหรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงตามวรรคสี่<br />
<br />
เมื่อการอภิปรายทั่วไปสิ้นสุดลง โดยมิใช่ด้วยมติให้ผ่านระเบียบวาระเปิดอภิปรายนั้นไปให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ การลงมติในกรณีเช่นว่านี้มิให้กระทำในวันเดียวกับวันที่การอภิปรายสิ้นสุดลง<br />
<br />
มติไม่ไว้วางใจต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
รัฐมนตรีคนใดพ้นจากตำแหน่งเดิมแต่ยังคงเป็นรัฐมนตรีในตำแหน่งอื่นภายหลังจากวันที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อตามวรรคหนึ่ง หรือพ้นจากตำแหน่งเดิมไม่เกินเก้าสิบวันก่อนวันที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อตามวรรคหนึ่ง แต่ยังคงเป็นรัฐมนตรีในตำแหน่งอื่น ให้รัฐมนตรีคนนั้นยังคงต้องถูกอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจต่อไป<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๕๒</span></b></u> สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร จะเข้าชื่อกันเพื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยไม่มีการลงมติก็ได้<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๕๓</span></b></u> สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา มีสิทธิเข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๕๔ </span></b></u>การเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๒<br />
หรือมาตรา ๑๕๓ แล้วแต่กรณี ให้กระทำได้ปีละหนึ่งครั้ง<br />
<br />
ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับแก่การเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา ๑๕๑ ที่สิ้นสุดลงด้วยมติให้ผ่านระเบียบวาระเปิดอภิปรายนั้นไป<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๕๕</span></u></b> ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยหรือเศรษฐกิจของประเทศสมควรที่จะปรึกษาหารือร่วมกันระหว่างรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมรัฐสภาก็ได้ ในกรณีนี้ ประธานรัฐสภา<br />
ต้องดำเนินการให้มีการประชุมภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับการแจ้ง แต่รัฐสภาจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายมิได้<br />
<br />
การประชุมตามวรรคหนึ่งให้ประชุมลับ และคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่ต้องเข้าร่วมประชุมด้วย<br />
<br />
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue;">ส่วนที่ ๕</span></b></u><br />
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue;">การประชุมร่วมกันของรัฐสภา</span></b></u><br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๕๖ </span></b></u>ในกรณีต่อไปนี้ ให้รัฐสภาประชุมร่วมกัน<br />
(๑) การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา ๑๗<br />
(๒) การปฏิญาณตนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภาตามมาตรา ๑๙<br />
(๓) การรับทราบการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์<br />
พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ ตามมาตรา ๒๐<br />
(๔) การรับทราบหรือให้ความเห็นชอบในการสืบราชสมบัติตามมาตรา ๒๑<br />
(๕) การให้ความเห็นชอบในการปิดสมัยประชุมตามมาตรา ๑๒๑<br />
(๖) การเปิดประชุมรัฐสภาตามมาตรา ๑๒๒<br />
(๗) การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๑๓๒<br />
(๘) การปรึกษาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติใหม่<br />
ตามมาตรา ๑๔๖<br />
(๙) การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๔๗<br />
(๑๐) การเปิดอภิปรายทั่วไปตามมาตรา ๑๕๕ และมาตรา ๑๖๕<br />
(๑๑) การตราข้อบังคับการประชุมรัฐสภาตามมาตรา ๑๕๗<br />
(๑๒) การแถลงนโยบายตามมาตรา ๑๖๒<br />
(๑๓) การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงครามตามมาตรา ๑๗๗<br />
(๑๔) การรับฟังคำชี้แจงและการให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘<br />
(๑๕) การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๕๖<br />
(๑๖) กรณีอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๕๗</span></b></u> ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาให้ใช้ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ในระหว่างที่ยังไม่มีข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ให้ใช้ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยอนุโลมไปพลางก่อน<br />
<br />
ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ให้นำบทที่ใช้แก่สภาทั้งสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่ในเรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการ กรรมาธิการซึ่งตั้งจากผู้ซึ่งเป็นสมาชิกของแต่ละสภาจะต้องมีจำนวนตามหรือใกล้เคียงกับอัตราส่วนของจำนวนสมาชิกของแต่ละสภา<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue; font-size: large;">หมวด ๘</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue; font-size: large;">คณะรัฐมนตรี</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue; font-size: large;"><br /></span></b></u></div>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๕๘</span></b></u> พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคนประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน<br />
<br />
นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี<br />
<br />
นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๕๙</span></b></u> ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๐ และเป็นผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของ<br />
สภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
การเสนอชื่อตามวรรคหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๖๐ รัฐมนตรีต้อง</span></b></u><br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
(๑) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด<br />
(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปี<br />
(๓) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า<br />
(๔) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์<br />
(๕) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง<br />
(๖) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘<br />
(๗) ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษเว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท<br />
(๘) ไม่เป็นผู้เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๖หรือมาตรา ๑๘๗ มาแล้วยังไม่ถึงสองปีนับถึงวันแต่งตั้ง<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๖๑ </span></b></u>ก่อนเข้ารับหน้าที่ รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้<br />
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”<br />
<br />
ในกรณีที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อนที่จะถวายสัตย์ปฏิญาณให้คณะรัฐมนตรีนั้นดำเนินการตามมาตรา ๑๖๒ วรรคสองได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้คณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖๘ (๑)พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมดังกล่าว<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๖๒</span></u></b> คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ <span style="color: red;">ภายในสิบห้าวัน</span>นับแต่วันเข้ารับหน้าที่<br />
<br />
ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๖๓ </span></u></b>รัฐมนตรีย่อมมีสิทธิเข้าประชุมและแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมสภาแต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน เว้นแต่เป็นการออกเสียงลงคะแนนในสภาผู้แทนราษฎรในกรณีที่รัฐมนตรีผู้นั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วย และให้นำเอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๒๔มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๖๔ </span></u></b>ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ด้วย<br />
<br />
(๑) ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ เปิดเผย และมีความรอบคอบ<br />
และระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่าง ๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม<br />
<br />
(๒) รักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด<br />
<br />
(๓) ยึดถือและปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี<br />
(๔) สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ผาสุก และสามัคคีปรองดองกันรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของตน รวมทั้งต้องรับผิดชอบร่วมกันต่อรัฐสภาในการกำหนดนโยบายและการดำเนินการตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๖๕</span></b></u> ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ รัฐสภาจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายมิได้<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๖๖</span></b></u> ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดอันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๖๗</span></b></u> รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ<br />
(๑) ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๗๐<br />
(๒) อายุสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร<br />
(๓) คณะรัฐมนตรีลาออก<br />
(๔) พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๑๔๔<br />
เมื่อรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งตาม (๑) (๓) หรือ (๔) ให้ดำเนินการเพื่อให้มีคณะรัฐมนตรีขึ้นใหม่ตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๖๘ </span></u></b>ให้คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายใต้เงื่อนไข ดังต่อไปนี้<br />
(๑) ในกรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๑) (๒) หรือ (๓) ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เว้นแต่ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๑) เพราะเหตุขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๖๐<br />
(๔) หรือ (๕) นายกรัฐมนตรีจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้<br />
<br />
(๒) ในกรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๔) คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้<br />
<br />
ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้ตาม (๒) หรือคณะรัฐมนตรีที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปลาออกทั้งคณะ และเป็นกรณีที่ไม่อาจดำเนินการตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙ ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดหรือยังดำเนินการตามมาตรา ๑๕๘ และมาตรา ๑๕๙ ไม่แล้วเสร็จ ให้ปลัดกระทรวงปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น ๆ เฉพาะเท่าที่จำเป็นไปพลางก่อน โดยให้ปลัดกระทรวงคัดเลือกกันเองให้คนหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๖๙</span></u></b> คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๖๗ (๒) และต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามมาตรา ๑๖๘ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามเงื่อนไข ดังต่อไปนี้<br />
(๑) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป เว้นแต่ที่กำหนดไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี<br />
<br />
(๒) ไม่แต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำหรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน<br />
<br />
(๓) ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน<br />
<br />
(๔) ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดอันอาจมีผลต่อการเลือกตั้งและไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๗๐</span></u></b> ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เมื่อ<br />
(๑) ตาย<br />
(๒) ลาออก<br />
(๓) สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจ<br />
(๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๐<br />
(๕) กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๖ หรือมาตรา ๑๘๗<br />
(๖) มีพระบรมราชโองการให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๗๑<br />
นอกจากเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามวรรคหนึ่งแล้ว ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ด้วยให้นำความในมาตรา ๘๒ มาใช้บังคับแก่การสิ้นสุดของความเป็นรัฐมนตรีตาม (๒) (๔) หรือ (๕)<br />
หรือวรรคสอง โดยอนุโลม เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ด้วย<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๗๑ </span></u></b>พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๗๒</span></u></b> ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้<br />
<br />
การตราพระราชกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้<br />
<br />
ในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป ให้คณะรัฐมนตรีเสนอพระราชกำหนดนั้นต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาโดยไม่ชักช้า ถ้าอยู่นอกสมัยประชุมและการรอการเปิดสมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนดโดยเร็วถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติหรือสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติแต่วุฒิสภาไม่อนุมัติและสภาผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรให้พระราชกำหนดนั้นตกไป แต่ทั้งนี้ไม่กระทบต่อกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น<br />
<br />
หากพระราชกำหนดตามวรรคหนึ่งมีผลเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดและพระราชกำหนดนั้นต้องตกไปตามวรรคสาม ให้บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีอยู่ก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิก มีผลใช้บังคับต่อไปนับแต่วันที่การไม่อนุมัติพระราชกำหนดนั้นมีผล<br />
<br />
ถ้าสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอนุมัติพระราชกำหนดนั้น หรือถ้าวุฒิสภาไม่อนุมัติและสภาผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ให้พระราชกำหนดนั้นมีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป<br />
<br />
การอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนด ให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษาในกรณีไม่อนุมัติ ให้มีผลตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
<br />
การพิจารณาพระราชกำหนดของสภาผู้แทนราษฎรและของวุฒิสภา และการยืนยันการอนุมัติพระราชกำหนด จะต้องกระทำในโอกาสแรกที่มีการประชุมสภานั้น ๆ<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๗๓</span></u></b> ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะได้อนุมัติพระราชกำ หนดใด<br />
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าพระราชกำหนดนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา ๑๗๒ วรรคหนึ่ง และให้ประธานแห่งสภานั้นส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ<br />
ภายในสามวันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นเพื่อวินิจฉัย และให้รอการพิจารณาพระราชกำหนดนั้นไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง และให้ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังประธานแห่งสภาที่ส่งความเห็นนั้นมา<br />
<br />
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าพระราชกำหนดใดไม่เป็นไปตามมาตรา ๑๗๒ วรรคหนึ่งให้พระราชกำหนดนั้นไม่มีผลใช้บังคับมาแต่ต้น<br />
<br />
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าพระราชกำหนดใดไม่เป็นไปตามมาตรา ๑๗๒ วรรคหนึ่งต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดเท่าที่มีอยู่<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๗๔</span></u></b> ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตราซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน พระมหากษัตริย์จะทรงตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติก็ได้<br />
<br />
ให้นำความในมาตรา ๑๗๒ วรรคสาม วรรคสี่ วรรคห้า วรรคหก และวรรคเจ็ด มาใช้บังคับแก่พระราชกำหนดที่ได้ตราขึ้นตามวรรคหนึ่งโดยอนุโลม แต่ถ้าเป็นการตราขึ้นในระหว่างสมัยประชุม จะต้องนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรภายในสามวันนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๗๕ </span></b></u>พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๗๖</span></u></b> พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศใช้และเลิกใช้กฎอัยการศึกในกรณีที่มีความจำเป็นต้องประกาศใช้กฎอัยการศึกเฉพาะแห่งเป็นการรีบด่วน เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารย่อมกระทำได้ตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๗๗</span></b></u> พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงครามเมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภามติให้ความเห็นชอบของรัฐสภาต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๗๘</span></b></u> พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพสัญญาสงบศึก และสัญญาอื่นกับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ<br />
<br />
หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และหนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบ<br />
ของรัฐสภา ในการนี้ รัฐสภาต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง หากรัฐสภาพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่ารัฐสภาให้ความเห็นชอบ<br />
<br />
หนังสือสัญญาอื่นที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามวรรคสอง ได้แก่ หนังสือสัญญาเกี่ยวกับการค้าเสรี เขตศุลกากรร่วมหรือการให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ หรือทำให้ประเทศต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน หรือหนังสือสัญญาอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
ให้มีกฎหมายกำหนดวิธีการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและได้รับการเยียวยาที่จำเป็นอันเกิดจากผลกระทบของการทำหนังสือสัญญาตามวรรคสามด้วย<br />
<br />
เมื่อมีปัญหาว่าหนังสือสัญญาใดเป็นกรณีตามวรรคสองหรือวรรคสามหรือไม่ คณะรัฐมนตรีจะขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก็ได้ ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำขอ<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๗๙ </span></u></b>พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๘๐</span></u></b> พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน<br />
ตำแหน่งปลัดกระทรวง อธิบดี และเทียบเท่า และทรงให้พ้นจากตำแหน่ง เว้นแต่กรณีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย เกษียณอายุ หรือพ้นจากราชการเพราะถูกลงโทษ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๘๑ </span></b></u>ข้าราชการและพนักงานของรัฐซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง จะเป็นข้าราชการการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นมิได้<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๘๒</span></u></b> บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดินต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๘๓</span></u></b> เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรี ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา<br />
<br />
บำเหน็จบำนาญหรือประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นขององคมนตรีซึ่งพ้นจากตำแหน่ง ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา<br />
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue; font-size: large;">หมวด ๙</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue; font-size: large;">การขัดกันแห่งผลประโยชน์</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue; font-size: large;"><br /></span></b></u></div>
<span style="color: red;"><u><b>มาตรา ๑๘๔</b></u></span> สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้อง<br />
(๑) ไม่ดำรงตำแหน่งหรือหน้าที่ใดในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจหรือตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น<br />
<br />
(๒) ไม่รับหรือแทรกแซงหรือก้าวก่ายการเข้ารับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม<br />
<br />
(๓) ไม่รับเงินหรือประโยชน์ใด ๆ จากหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเป็นพิเศษนอกเหนือไปจากที่หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจปฏิบัติต่อบุคคลอื่น ๆ ในธุรกิจการงานปกติ<br />
<br />
(๔) ไม่กระทำการใด ๆ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นการขัดขวางหรือแทรกแซงการใช้สิทธิหรือเสรีภาพของหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนโดยมิชอบ<br />
<br />
มาตรานี้มิให้ใช้บังคับในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภารับเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ เงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน และมิให้ใช้บังคับในกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภารับหรือดำรงตำแหน่งกรรมาธิการของรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา หรือกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งในการบริหารราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกิจการของสภา หรือกรรมการ<br />
ตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ<br />
<br />
ให้นำ (๒) และ (๓) มาบังคับใช้แก่คู่สมรสและบุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา และบุคคลอื่นซึ่งมิใช่คู่สมรสและบุตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภานั้นที่ดำเนินการในลักษณะผู้ถูกใช้ ผู้ร่วมดำเนินการ หรือผู้ได้รับมอบหมายจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาให้กระทำการตามมาตรานี้ด้วย<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๘๕ </span></u></b>สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภากระทำการใด ๆ อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในเรื่องดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น<br />
<br />
(๒) กระทำการในลักษณะที่ทำให้ตนมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณหรือให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ เว้นแต่เป็นการดำเนินการในกิจการของรัฐสภา<br />
<br />
(๓) การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือนหรือการให้พ้นจากตำแหน่งของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๘๖</span></b></u> ให้นำความในมาตรา ๑๘๔ มาใช้บังคับแก่รัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) การดำรงตำแหน่งหรือการดำเนินการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าที่หรืออำนาจของรัฐมนตรี<br />
(๒) การกระทำตามหน้าที่และอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน หรือตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา หรือตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
นอกจากกรณีตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเองของผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองโดยมิชอบตามที่กำหนดในมาตรฐานทางจริยธรรม<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๘๗ </span></b></u>รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ และต้องไม่เป็นลูกจ้างของบุคคลใด<br />
ในกรณีที่รัฐมนตรีผู้ใดประสงค์จะได้รับประโยชน์จากกรณีตามวรรคหนึ่งต่อไป ให้แจ้งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง และให้โอนหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทดังกล่าวให้แก่นิติบุคคลซึ่งจัดการทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
รัฐมนตรีจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทตามวรรคสองไม่ว่าในทางใด ๆ มิได้<br />
<br />
มาตรานี้เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ให้ใช้บังคับแก่คู่สมรสและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะของรัฐมนตรี และการถือหุ้นของรัฐมนตรีที่อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าโดยทางใด ๆ ด้วย<br />
หมวด ๑๐<br />
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue;">ศาล</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue;">ส่วนที่ ๑</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue;">บททั่วไป</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue;"><br /></span></b></u></div>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๘๘</span></b></u> การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์<br />
<br />
ผู้พิพากษาและตุลาการย่อมมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตารัฐธรรมนูญและกฎหมายให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เป็นธรรม และปราศจากอคติทั้งปวง<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๘๙</span></b></u> บรรดาศาลทั้งหลายจะตั้งขึ้นได้แต่โดยพระราชบัญญัติ<br />
การตั้งศาลขึ้นใหม่หรือกำหนดวิธีพิจารณาเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีใดคดีหนึ่งหรือที่มีข้อหาฐานใดฐานหนึ่งโดยเฉพาะแทนศาลที่มีตามกฎหมายสำหรับพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ๆ จะกระทำมิได้<br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>มาตรา ๑๙๐</b></u></span> พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและให้ผู้พิพากษาและตุลาการพ้นจากตำแหน่งแต่ในกรณีที่พ้นจากตำแหน่งเพราะความตาย เกษียณอายุ ตามวาระ หรือพ้นจากราชการเพราะถูกลงโทษให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๙๑ </span></b></u>ก่อนเข้ารับหน้าที่ ผู้พิพากษาและตุลาการต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำ ดังต่อไปนี้<br />
“ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริตโดยปราศจากอคติทั้งปวงเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ”<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๙๒</span></b></u> ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจระหว่างศาลยุติธรรม ศาลปกครองหรือศาลทหาร ให้พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดโดยคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยประธานศาลฎีกาเป็นประธานประธานศาลปกครองสูงสุด หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีกไม่เกินสี่คนตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
เป็นกรรมการ<br />
<br />
หลักเกณฑ์และวิธีการชี้ขาดปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจระหว่างศาลตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๙๓ </span></b></u>ให้แต่ละศาล ยกเว้นศาลทหาร มีหน่วยงานที่รับผิดชอบงานธุรการที่มีความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น โดยให้มีหัวหน้าหน่วยงานคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานของแต่ละศาล ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
ให้ศาลยุติธรรมและศาลปกครองมีระบบเงินเดือนและค่าตอบแทนเป็นการเฉพาะตามความเหมาะสมตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><b><u>ส่วนที่ ๒</u></b></span><br />
<span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><b><u>ศาลยุติธรรม</u></b></span><br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๙๔ </span></u></b>ศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น<br />
<br />
การจัดตั้ง วิธีพิจารณาคดี และการดำเนินงานของศาลยุติธรรมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๙๕</span></u></b> ให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา โดยองค์คณะผู้พิพากษาประกอบด้วยผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจำนวนไม่น้อยกว่าห้าคนแต่ไม่เกินเก้าคนตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยให้เลือกเป็นรายคดี<br />
<br />
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้อุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา<br />
<br />
การวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามวรรคสี่ ให้ดำเนินการโดยองค์คณะของศาลฎีกาซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาหรือผู้พิพากษาอาวุโสซึ่งเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาซึ่งไม่เคยพิจารณาคดีนั้นมาก่อน และได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจำนวนเก้าคน โดยให้เลือกเป็นรายคดี<br />
และเมื่อองค์คณะของศาลฎีกาดังกล่าวได้วินิจฉัยแล้ว ให้ถือว่าคำวินิจฉัยนั้นเป็นคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา<br />
<br />
ในกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ผู้ใดพ้นจากตำแหน่ง หรือคำพิพากษานั้นมีผลให้ผู้ใดพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าจะมีการอุทธรณ์ตามวรรคสี่หรือไม่ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษา<br />
<br />
หลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์ตามวรรคสี่ และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามวรรคห้าให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๑๙๖</span></b></u> การบริหารงานบุคคลเกี่ยวกับผู้พิพากษาศาลยุติธรรมต้องมีความเป็นอิสระและดำเนินการโดยคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ซึ่งประกอบด้วยประธานศาลฎีกาเป็นประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นข้าราชการตุลาการในแต่ละชั้นศาล และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งไม่เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการตุลาการ บรรดาที่ได้รับเลือกจากข้าราชการตุลาการไม่เกินสองคน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">ส่วนที่ ๓</span></u></b><br />
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">ศาลปกครอง</span></u></b><br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๙๗ </span></u></b>ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมายหรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครอง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
ให้มีศาลปกครองสูงสุดและศาลปกครองชั้นต้น<br />
อำนาจศาลปกครองตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กรอิสระซึ่งเป็นการใช้อำนาโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององค์กรอิสระนั้น ๆ<br />
<br />
การจัดตั้ง วิธีพิจารณาคดี และการดำเนินงานของศาลปกครองให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๙๘ </span></u></b>การบริหารงานบุคคลเกี่ยวกับตุลาการศาลปกครองต้องมีความเป็นอิสระและดำเนินการโดยคณะกรรมการตุลาการศาลปกครองซึ่งประกอบด้วยประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นประธานและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นตุลาการในศาลปกครอง และผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งไม่เป็นหรือเคยเป็นตุลาการ<br />
ในศาลปกครองไม่เกินสองคน บรรดาที่ได้รับเลือกจากข้าราชการตุลาการศาลปกครอง ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">ส่วนที่ ๔</span></u></b><br />
<b><u><span style="color: red;">ศาลทหาร</span></u></b><br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๑๙๙</span></u></b> ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่ผู้กระทำความผิดเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารและคดีอื่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
การจัดตั้ง วิธีพิจารณาคดี และการดำเนินงานของศาลทหาร ตลอดจนการแต่งตั้งและการให้ตุลาการ<br />
<br />
ศาลทหารพ้นจากตำแหน่ง ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">หมวด ๑๑</span></u></b><br />
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">ศาลรัฐธรรมนูญ</span></u></b><br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๐๐</span></b></u> ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวนเก้าคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากบุคคล ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) ผู้พิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวนสามคน<br />
<br />
(๒) ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าตุลาการศาลปกครองสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี ซึ่งได้รับคัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด จำนวนสองคน<br />
<br />
(๓) ผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ซึ่งได้รับการสรรหาจากผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวนหนึ่งคน<br />
<br />
(๔) ผู้ทรงคุณวุฒิสาขารัฐศาสตร์หรือรัฐประศาสนศาสตร์ซึ่งได้รับการสรรหาจากผู้ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีและยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์ จำนวนหนึ่งคน<br />
<br />
(๕) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับการสรรหาจากผู้รับหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอัยการสูงสุดมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีจำนวนสองคน<br />
ในกรณีไม่อาจเลือกผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาตาม (๑) ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะเลือกบุคคลจากผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาในศาลฎีกามาแล้วไม่น้อยกว่าสามปีก็ได้<br />
<br />
การนับระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้นับถึงวันที่ได้รับการคัดเลือกหรือวันสมัครเข้ารับการสรรหาแล้วแต่กรณี ในกรณีจำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ คณะกรรมการสรรหาจะประกาศลดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองลงก็ได้ แต่จะลดลงเหลือน้อยกว่าสองปีมิได้<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๐๑</span></u></b> ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ด้วย<br />
<br />
(๑) มีสัญชาติไทยโดยการเกิด<br />
(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปี แต่ไม่ถึงหกสิบแปดปีในวันที่ได้รับการคัดเลือกหรือวันสมัครเข้ารับการสรรหา<br />
(๓) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า<br />
(๔) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์<br />
(๕) มีสุขภาพที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๐๒</span></u></b> ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้<br />
(๑) เป็นหรือเคยเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระใด<br />
<br />
(๒) ลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๙๘ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) (๑๑)<br />
(๑๗) หรือ (๑๘)<br />
<br />
(๓) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ<br />
<br />
(๔) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในระยะสิบปีก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา<br />
<br />
(๕) เป็นหรือเคยเป็นสมาชิกหรือผู้ดำรงตำแหน่งอื่นของพรรคการเมืองในระยะสิบปีก่อนเข้ารับ<br />
การคัดเลือกหรือสรรหา<br />
<br />
(๖) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ<br />
<br />
(๗) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นหรือกรรมการหรือที่ปรึกษาของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ<br />
<br />
(๘) เป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วนบริษัท หรือองค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใด<br />
<br />
(๙) เป็นผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ<br />
<br />
(๑๐) มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๐๓</span></u></b> เมื่อมีกรณีที่จะต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหา ซึ่งประกอบด้วย<br />
<br />
(๑) ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการ<br />
(๒) ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นกรรมการ<br />
(๓) ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นกรรมการ<br />
(๔) บุคคลซึ่งองค์กรอิสระแต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา ๒๐๑ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐๒ และไม่เคยปฏิบัติหน้าที่ใด ๆ ในศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระ องค์กรละหนึ่งคนเป็นกรรมการ<br />
<br />
ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการสรรหาตาม (๒) หรือกรรมการสรรหาตาม (๔) มีไม่ครบไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้คณะกรรมการสรรหาประกอบด้วยกรรมการสรรหาเท่าที่มีอยู่ให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่เป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการสรรหาให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ<br />
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัคร ผู้ได้รับการคัดเลือกหรือได้รับการสรรหาให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหาเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นที่สุด<br />
<br />
ในการสรรหา ให้คณะกรรมการสรรหาปรึกษาหารือเพื่อคัดสรรให้ได้บุคคลซึ่งมีความรับผิดชอบสูงมีความกล้าหาญในการปฏิบัติหน้าที่ และมีพฤติกรรมทางจริยธรรมเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม โดยนอกจากการประกาศรับสมัครแล้ว ให้คณะกรรมการสรรหาดำเนินการสรรหาจากบุคคลที่มีความเหมาะสมทั่วไปได้ด้วย<br />
แต่ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลนั้น<br />
<br />
มาตรา ๒๐๔ ผู้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา<br />
<br />
ในกรณีที่วุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกรายใด ให้ดำเนินการสรรหาหรือคัดเลือกบุคคลใหม่แทนผู้นั้น แล้วเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป<br />
<br />
เมื่อผู้ได้รับการสรรหาหรือคัดเลือกได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้ว ให้เลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ แล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ<br />
ให้ประธานวุฒิสภานำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ<br />
<br />
<u><span style="color: red;">มาตรา ๒๐๕</span></u> ผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยที่ยังมิได้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๒๐๒ (๖) (๗) หรือ (๘) หรือยังประกอบวิชาชีพตาม (๙) อยู่ ต้องแสดงหลักฐานว่าได้ลาออกหรือเลิกประกอบวิชาชีพตามมาตรา ๒๐๒ (๖) (๗) (๘) หรือ (๙) แล้ว ต่อประธานวุฒิสภาภายในเวลาที่ประธานวุฒิสภากำหนด ซึ่งต้องเป็นเวลาก่อนที่ประธานวุฒิสภาจะนำความกราบบังคมทูล<br />
ตามมาตรา ๒๐๔ วรรคสี่ ในกรณีที่ไม่แสดงหลักฐานภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าผู้นั้นสละสิทธิและให้ดำเนินการคัดเลือกหรือสรรหาใหม่<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๐๖ </span></b></u>ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๒๐๔ ถ้ามีผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าเจ็ดคน ให้ผู้ได้รับความเห็นชอบเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ต้องรอให้มีผู้ได้รับความเห็นชอบครบเก้าคนและเมื่อโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป<br />
พลางก่อนได้ โดยในระหว่างนั้น ให้ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่าที่มีอยู่<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๐๗</span></u></b> ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีวาระการดำรงตำแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๐๘</span></u></b> นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งเมื่อ<br />
<br />
(๑) ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๒๐๑ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐๒<br />
(๒) ตาย<br />
(๓) ลาออก<br />
(๔) มีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี<br />
(๕) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้พ้นจากตำแหน่งด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เพราะเหตุฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ<br />
(๖) พ้นจากตำแหน่งเพราะเหตุตามมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม<br />
ประธานศาลรัฐธรรมนูญซึ่งลาออกจากตำแหน่ง ให้พ้นจากตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย<br />
<br />
ในกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่พ้นจากตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่แทน<br />
<br />
ในกรณีที่มีปัญหาว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ใดพ้นจากตำแหน่งตาม (๑) หรือ (๓) หรือไม่ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๒๐๓ เป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาให้เป็นที่สุด<br />
<br />
การร้องขอ ผู้มีสิทธิร้องขอ การพิจารณา และการวินิจฉัยตามวรรคสี่ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๐๙</span></b></u> ในระหว่างที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระและยังไม่มีการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้<br />
<br />
บทบัญญัติตามวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับกรณีมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหลืออยู่ไม่ถึงเจ็ดคน<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๑๐</span></u></b> ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) พิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมาย<br />
(๒) พิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภาคณะรัฐมนตรี หรือองค์กรอิสระ<br />
(๓) หน้าที่และอำนาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
การยื่นคำร้องและเงื่อนไขการยื่นคำร้อง การพิจารณาวินิจฉัย การทำคำวินิจฉัย และการดำเนินงานของศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ<br />
ให้นำความในมาตรา ๑๘๘ มาตรา ๑๙๐ มาตรา ๑๙๑ และมาตรา ๑๙๓ มาใช้บังคับแก่ศาลรัฐธรรมนูญด้วยโดยอนุโลม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๑๑</span></u></b> องค์คณะของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในการนั่งพิจารณาและในการทำคำวินิจฉัยต้องประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไม่น้อยกว่าเจ็ดคน<br />
<br />
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ถือเสียงข้างมาก เว้นแต่รัฐธรรมนูญจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น<br />
<br />
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องใดไว้พิจารณาแล้ว ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญผู้ใดจะปฏิเสธไม่วินิจฉัยโดยอ้างว่าเรื่องนั้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญมิได้<br />
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๑๒</span></b></u> ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยมาตรา ๕ และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ในระหว่างนั้น ให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้<br />
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบต่อคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่ในคดีอาญาให้ถือว่าผู้ซึ่งเคยถูกศาลพิพากษาว่ากระทำความผิดตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยมาตรา ๕ นั้น เป็นผู้ไม่เคยกระทำความผิดดังกล่าวหรือถ้าผู้นั้นยังรับโทษอยู่ก็ให้ปล่อยตัวไป แต่ทั้งนี้ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชยหรือค่าเสียหายใด ๆ<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๑๓ </span></b></u>บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๑๔</span></b></u> ในกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๓๕วรรคสาม และมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหลืออยู่ไม่ถึงเจ็ดคน ให้ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดร่วมกันแต่งตั้งบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราวให้ครบเก้าคน โดยให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งทำหน้าที่ในฐานะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้จนกว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ตนทำหน้าที่แทน<br />
จะปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือจนกว่าจะมีการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทน<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<b><span style="color: blue; font-size: large;"><u>หมวด ๑๒</u></span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="color: blue; font-size: large;"><u>องค์กรอิสระ</u></span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="color: blue; font-size: large;"><u>ส่วนที่ ๑</u></span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="color: blue; font-size: large;"><u>บททั่วไป</u></span></b></div>
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๑๕ </span></u></b>องค์กรอิสระเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นให้มีความอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายการปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจขององค์กรอิสระต้องเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม กล้าหาญและปราศจากอคติทั้งปวงในการใช้ดุลพินิจ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๑๖</span></b></u> นอกจากคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะในส่วนที่ว่าด้วยองค์กรอิสระแต่ละองค์กรแล้ว ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามทั่วไปดังต่อไปนี้ด้วย<br />
<br />
(๑) มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปี แต่ไม่เกินเจ็ดสิบปี<br />
<br />
(๒) มีคุณสมบัติตามมาตรา ๒๐๑ (๑) (๓) (๔) และ (๕)<br />
<br />
(๓) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๒๐๒<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๑๗</span></b></u> เมื่อมีกรณีที่จะต้องสรรหาผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระนอกจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสรรหาตามมาตรา ๒๐๓ ที่จะดำเนินการสรรหา เว้นแต่กรรมการสรรหาตามมาตรา ๒๐๓ (๔) ให้ประกอบด้วย<br />
บุคคลซึ่งแต่งตั้งโดยศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่มิใช่องค์กรอิสระที่ต้องมีการสรรหา<br />
<br />
ให้นำความในมาตรา ๒๐๓ มาตรา ๒๐๔ มาตรา ๒๐๕ และมาตรา ๒๐๖ มาใช้บังคับแก่การสรรหาตามวรรคหนึ่งโดยอนุโลม<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๑๘</span></b></u> นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระพ้นจาก<br />
ตำแหน่งเมื่อ<br />
(๑) ตาย<br />
(๒) ลาออก<br />
(๓) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามทั่วไปตามมาตรา ๒๑๖ หรือขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเฉพาะตามมาตรา ๒๒๒ มาตรา ๒๒๘ มาตรา ๒๓๒ มาตรา ๒๓๘ หรือตามมาตรา ๒๔๖ วรรคสอง และตามกฎหมายที่ตราขึ้นตามมาตรา ๒๔๖ วรรคสี่ แล้วแต่กรณี<br />
<br />
ให้นำความในมาตรา ๒๐๘ วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า และมาตรา ๒๐๙มาใช้บังคับแก่การพ้นจากตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระโดยอนุโลม<br />
<br />
ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๓๕ วรรคสามถ้ามีจำนวนเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ให้นำความในมาตรา ๒๑๔ มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๑๙ </span></u></b>ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระร่วมกันกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นใช้บังคับแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้ ทั้งนี้ มาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวต้องครอบคลุมถึงการรักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และต้องระบุให้ชัดแจ้งด้วยว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมใดมีลักษณะร้ายแรง<br />
<br />
ในการจัดทำมาตรฐานทางจริยธรรมตามวรรคหนึ่ง ให้รับฟังความคิดเห็นของสภาผู้แทนราษฎรวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย และเมื่อประกาศใช้บังคับแล้วให้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีด้วย แต่ไม่ห้ามสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะรัฐมนตรีที่จะกำหนดจริยธรรมเพิ่มขึ้นให้เหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ของตน แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับมาตรฐานทางจริยธรรมตามวรรคหนึ่ง และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>มาตรา ๒๒๐</b></u></span> ให้องค์กรอิสระแต่ละแห่ง นอกจากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน มีหน่วยงานที่รับผิดชอบงานธุรการ ดำเนินการ และอำนวยความสะดวก เพื่อให้องค์กรอิสระบรรลุภารกิจและหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และเป็นไปตามมติหรือแนวทางที่องค์กรอิสระกำหนด โดยให้มีหัวหน้าหน่วยงานคนหนึ่งซึ่งแต่งตั้งโดยความเห็นชอบขององค์กรอิสระแต่ละองค์กรเป็นผู้รับผิดชอบ<br />
การบริหารงานของหน่วยงานนั้น รับผิดชอบขึ้นตรงต่อองค์กรอิสระ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๒๑</span></b></u> ในการปฏิบัติหน้าที่ ให้องค์กรอิสระร่วมมือและช่วยเหลือกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละองค์กร และถ้าองค์กรอิสระใดเห็นว่ามีผู้กระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อยู่ในหน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระอื่น ให้แจ้งองค์กรอิสระนั้นทราบเพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">ส่วนที่ ๒</span></b></u><br />
<u><b><span style="color: red;">คณะกรรมการการเลือกตั้ง</span></b></u><br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๒๒</span></b></u> คณะกรรมการการเลือกตั้งประกอบด้วยกรรมการจำนวนเจ็ดคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากบุคคลดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาการต่าง ๆ ที่จะยังประโยชน์แก่การบริหารและจัดการการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งได้รับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหา จำนวนห้าคน<br />
<br />
(๒) ผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ด้านกฎหมาย มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และเคยดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีผู้พิพากษา หรือตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีอัยการมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จำนวนสองคนผู้ซึ่งจะได้รับการสรรหาเป็นกรรมการการเลือกตั้งตาม (๑) ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา ๒๓๒ (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) หรือ (๗) หรือเป็นผู้ทำงานหรือเคยทำงานในภาคประชาสังคมมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบปี ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการสรรหาประกาศกำหนด<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๒๓</span></u></b> กรรมการการเลือกตั้งมีวาระการดำรงตำแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว<br />
<br />
ในระหว่างที่กรรมการการเลือกตั้งพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ และยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการการเลือกตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ แต่ถ้ามีกรรมการการเลือกตั้งเหลืออยู่ไม่ถึงสี่คนให้กระทำได้แต่เฉพาะการที่จำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๒๔</span></b></u> ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) จัดหรือดำเนินการให้มีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกสมาชิกวุฒิสภาการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น และการออกเสียงประชามติ<br />
<br />
(๒) ควบคุมดูแลการเลือกตั้งและการเลือกตาม (๑) ให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม<br />
และควบคุมดูแลการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อการนี้ ให้มีอำนาจสืบสวน<br />
หรือไต่สวนได้ตามที่จำเป็นหรือที่เห็นสมควร<br />
<br />
(๓) เมื่อผลการสืบสวนหรือไต่สวนตาม (๒) หรือเมื่อพบเห็นการกระทำที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าการเลือกตั้งหรือการเลือกตาม (๑) มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม หรือการออกเสียงประชามติเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ให้มีอำนาจสั่งระงับ ยับยั้ง แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการเลือกตั้งหรือการเลือก หรือการออกเสียงประชามติ และสั่งให้ดำเนินการเลือกตั้ง เลือก หรือออกเสียงประชามติใหม่<br />
ในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วย หรือทุกหน่วย<br />
<br />
(๔) สั่งระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกตาม (๑)ไว้เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปี เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้นั้นกระทำการหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น ที่มีลักษณะเป็นการทุจริต หรือทำให้การเลือกตั้งหรือการเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม<br />
<br />
(๕) ดูแลการดำเนินงานของพรรคการเมืองให้เป็นไปตามกฎหมาย<br />
<br />
(๖) หน้าที่และอำนาจอื่นตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย<br />
ในการสืบสวนหรือไต่สวนตาม (๒) คณะกรรมการการเลือกตั้งจะมอบหมายให้กรรมการการเลือกตั้งแต่ละคนดำเนินการ หรือมอบหมายให้คณะบุคคลดำเนินการภายใต้การกำกับของกรรมการการเลือกตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดก็ได้<br />
<br />
การใช้อำนาจตาม (๓) ให้กรรมการการเลือกตั้งแต่ละคนซึ่งพบเห็นการกระทำความผิดมีอำนาจกระทำได้สำหรับหน่วยเลือกตั้งหรือเขตเลือกตั้งที่พบเห็นการกระทำความผิด ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๒๕</span></u></b> ก่อนประกาศผลการเลือกตั้งหรือการเลือก ถ้ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งหรือการเลือกนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจสั่งให้มีการเลือกตั้งหรือการเลือกใหม่ในหน่วยเลือกตั้งหรือเขตเลือกตั้งนั้น ถ้าผู้กระทำการนั้นเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือก แล้วแต่กรณี หรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น ให้คณะกรรมการ<br />
การเลือกตั้งสั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นไว้เป็นการชั่วคราวตามมาตรา ๒๒๔ (๔)<br />
<br />
คำสั่งตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นที่สุด<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๒๖ </span></u></b>เมื่อมีการดำเนินการตามมาตรา ๒๒๕ หรือภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้งหรือการเลือกแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือผู้สมัครรับเลือกผู้ใดกระทำการทุจริตในการเลือกตั้งหรือการเลือกหรือรู้เห็นกับการกระทำของบุคคลอื่น ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น<br />
<br />
การพิจารณาของศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง ให้นำสำนวนการสืบสวนหรือไต่สวนของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นหลักในการพิจารณา และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอำนาจสั่งไต่สวนข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้<br />
<br />
ในกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าบุคคลตามวรรคหนึ่งกระทำความผิดตามที่ถูกร้อง ให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นเป็นเวลาสิบปี ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา แล้วแต่กรณี<br />
<br />
เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว ถ้าผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ให้ผู้นั้นหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่าผู้นั้นมิได้กระทำความผิดและเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าผู้นั้นกระทำความผิด ให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นสิ้นสุดลงนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่<br />
<br />
มิให้นับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคสี่เป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณี<br />
<br />
ให้นำมาตรานี้ไปใช้บังคับแก่การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นด้วยโดยอนุโลมแต่ให้อำนาจของศาลฎีกาเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ และให้คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด<br />
<br />
การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาหรือศาลอุทธรณ์ตามมาตรานี้ ให้เป็นไปตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาซึ่งต้องกำหนดให้ใช้ระบบไต่สวนและให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๒๗</span></u></b> ในระหว่างที่พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือการเลือกสมาชิกวุฒิสภา หรือเมื่อประกาศให้มีการออกเสียงประชามติ มีผลใช้บังคับ ห้ามมิให้จับคุมขัง หรือหมายเรียกตัวกรรมการการเลือกตั้งไปสอบสวน เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือในกรณีที่จับในขณะกระทำความผิด<br />
<br />
ในกรณีที่มีการจับกรรมการการเลือกตั้งในขณะกระทำความผิด หรือจับหรือคุมขังกรรมการการเลือกตั้งในกรณีอื่น ให้รายงานต่อประธานกรรมการการเลือกตั้งโดยด่วน และให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจสั่งให้ปล่อยผู้ถูกจับได้ แต่ถ้าประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ถูกจับหรือคุมขังให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งเท่าที่มีอยู่เป็นผู้ดำเนินการ<br />
<br />
<b><u><span style="color: red; font-size: large;">ส่วนที่ ๓</span></u></b><br />
<b><u><span style="color: red; font-size: large;">ผู้ตรวจการแผ่นดิน</span></u></b><br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๒๘</span></u></b> ผู้ตรวจการแผ่นดินมีจำนวนสามคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา<br />
ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐที่เทียบได้ไม่ต่ำกว่ากรมตามที่คณะกรรมการสรรหาประกาศกำหนด โดยต้องดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี จำนวนสองคน และเป็นผู้มีประสบการณ์ในการดำเนินกิจการอันเป็นสาธารณะมาแล้วไม่น้อยกว่ายี่สิบปี จำนวนหนึ่งคน<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๒๙ </span></u></b>ผู้ตรวจการแผ่นดินมีวาระการดำรงตำแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๓๐</span></b></u> ผู้ตรวจการแผ่นดินมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) เสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ข้อบังคับระเบียบ หรือคำสั่ง หรือขั้นตอนการปฏิบัติงานใด ๆ บรรดาที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน หรือเป็นภาระแก่ประชาชนโดยไม่จำเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ<br />
<br />
(๒) แสวงหาข้อเท็จจริงเมื่อเห็นว่ามีผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้ขจัดหรือระงับความเดือดร้อนหรือความไม่เป็นธรรมนั้น<br />
<br />
(๓) เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ทราบถึงการที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ<br />
<br />
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินตาม (๑) หรือ (๒) โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบเพื่อพิจารณาสั่งการตามที่เห็นสมควรต่อไป<br />
<br />
ในการดำเนินการตาม (๑) หรือ (๒) หากเป็นกรณีที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดำเนินการต่อไป<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๓๑</span></b></u> ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา ๒๓๐ ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นว่ามีกรณี ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ<br />
<br />
(๒) กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองและให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง<br />
<br />
<u><b><span style="color: blue;">ส่วนที่ ๔</span></b></u><br />
<u><b><span style="color: blue;">คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ</span></b></u><br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๓๒ </span></b></u>คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติประกอบด้วย<br />
กรรมการ<span style="color: magenta;">จำนวนเก้าคน </span>ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา<br />
ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านกฎหมาย บัญชี เศรษฐศาสตร์ การบริหารราชการแผ่นดิน หรือการอื่นใดอันเป็นประโยชน์ต่อการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ด้วย<br />
<br />
(๑) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีผู้พิพากษา อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นตุลาการพระธรรมนูญหัวหน้าศาลทหารกลาง หรืออธิบดีอัยการมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี<br />
<br />
(๒) รับราชการหรือเคยรับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าอธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี<br />
<br />
(๓) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี<br />
<br />
(๔) ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี และยังมีผลงานทางวิชาการเป็นที่ประจักษ์<br />
<br />
(๕) เป็นหรือเคยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพที่มีกฎหมายรับรองการประกอบวิชาชีพโดยประกอบวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่ายี่สิบปีนับถึงวันที่ได้รับการเสนอชื่อ และได้รับการรับรองการประกอบวิชาชีพจากองค์กรวิชาชีพนั้น<br />
<br />
(๖) เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ทางด้านการบริหาร การเงิน การคลังการบัญชี หรือการบริหารกิจการวิสาหกิจในระดับไม่ต่ำกว่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมหาชนจำกัดมาแล้วไม่น้อยกว่าสิบปี<br />
<br />
(๗) เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งตาม (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๖) รวมกันไม่น้อยกว่าสิบปี<br />
การนับระยะเวลาตามวรรคสอง ให้นับถึงวันที่ได้รับการเสนอชื่อหรือวันสมัครเข้ารับการสรรหาแล้วแต่กรณี<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๓๓</span></u></b> กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีวาระการดำรงตำแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว<br />
<br />
ในระหว่างที่กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระและยังไม่มีการแต่งตั้งกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้กรรมการเท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้เว้นแต่จะมีกรรมการเหลืออยู่ไม่ถึงห้าคน<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๓๔</span></u></b> คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีหน้าที่และอำนาจดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) ไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีการกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพื่อดำเนินการต่อไปตามรัฐธรรมนูญ<br />
หรือตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต<br />
<br />
(๒) ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมเพื่อดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต<br />
<br />
(๓) กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และเจ้าหน้าที่ของรัฐยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของตนคู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมทั้งตรวจสอบและเปิดเผยผลการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของบุคคลดังกล่าว ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต<br />
<br />
(๔) หน้าที่และอำนาจอื่นที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย<br />
ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม (๑) (๒) และ (๓) ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่จะต้องจัดให้มีมาตรการหรือแนวทางที่จะทำให้การปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพเกิดความรวดเร็ว สุจริต และเที่ยงธรรม ในกรณีจำเป็นจะมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตดำเนินการแทนในเรื่องที่มิใช่เป็นความผิดร้ายแรง<br />
หรือที่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางระดับหรือกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยธุรการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นผู้ดำเนินการสอบสวนหรือไต่สวนเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตก็ได้<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๓๕</span></b></u> ภายใต้บังคับมาตรา ๒๓๖ ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีการกล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเฉพาะที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
ผู้ใดมีพฤติการณ์ตามมาตรา ๒๓๔ (๑) ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไต่สวนข้อเท็จจริง และหากมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เห็นว่าผู้นั้นมีพฤติการณ์หรือกระทำความผิดตามที่ไต่สวนให้ดำเนินการดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) ถ้าเป็นกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย ทั้งนี้ ให้นำความในมาตรา ๒๒๖ วรรคเจ็ด มาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาโดยอนุโลม<br />
<br />
(๒) กรณีอื่นนอกจาก (๑) ให้ส่งสำนวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือดำเนินการอื่นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต<br />
<br />
การไต่สวนข้อเท็จจริงและมีมติตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต<br />
<br />
เมื่อศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประทับรับฟ้องให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา เว้นแต่ศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ในกรณีที่ศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์หรือกระทำความผิดตามที่<br />
ถูกกล่าวหา แล้วแต่กรณี ให้ผู้ต้องคำพิพากษานั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้นและจะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกินสิบปีด้วยหรือไม่ก็ได้<br />
<br />
ผู้ใดถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไม่ว่าในกรณีใด ผู้นั้นไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไปและไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ<br />
<br />
ในกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติหรือทุจริตต่อหน้าที่ ให้ริบทรัพย์สินที่ผู้นั้นได้มาจากการกระทำความผิด รวมทั้งบรรดาทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่ได้มาแทนทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน<br />
<br />
การพิจารณาของศาลฎีกาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้นำสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเป็นหลักในการพิจารณา และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้ศาลมีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้<br />
<br />
ให้นำมาตรานี้มาใช้บังคับแก่กรณีที่บุคคลตามมาตรา ๒๓๔ (๓) จงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินหรือหนี้สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้นด้วยโดยอนุโลม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๓๖</span></u></b> สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาหรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อกล่าวหาว่ากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติผู้ใดกระทำการตามมาตรา ๒๓๔ (๑) โดยยื่นต่อประธานรัฐสภาพร้อมด้วยหลักฐานตามสมควร หากประธานรัฐสภาเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำตามที่ถูกกล่าวหา ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระจากผู้ซึ่งมีความเป็นกลางทางการเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพื่อไต่สวนหาข้อเท็จจริง<br />
<br />
คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม หน้าที่และอำนาจ วิธีการไต่สวน ระยะเวลาการไต่สวน<br />
และการดำเนินการอื่นที่จำเป็นของคณะผู้ไต่สวนอิสระ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๓๗</span></b></u> เมื่อดำเนินการไต่สวนแล้วเสร็จ ให้คณะผู้ไต่สวนอิสระดำเนินการดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) ถ้าเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูลให้สั่งยุติเรื่อง และให้คำสั่งดังกล่าวเป็นที่สุด<br />
(๒) ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย โดยให้นำความในมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคหกมาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
(๓) ถ้าเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา และมิใช่กรณีตาม (๒) ให้ส่งสำนวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และให้นำความในมาตรา ๒๓๕ วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">ส่วนที่ ๕</span></b></u><br />
<u><b><span style="color: red;">คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน</span></b></u><br />
<br />
<u><span style="color: red;">มาตรา ๒๓๘ </span></u>คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินประกอบด้วยกรรมการจำ นวนเจ็ดคน<br />
ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากผู้ซึ่งได้รับการสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา<br />
<br />
ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน กฎหมาย การบัญชี การตรวจสอบภายใน การเงินการคลังและด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการตรวจเงินแผ่นดิน ทั้งนี้ เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสิบปี<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๓๙ </span></b></u>กรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีวาระการดำรงตำแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๔๐</span></u></b> คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) วางนโยบายการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
<br />
(๒) กำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
<br />
(๓) กำกับการตรวจเงินแผ่นดินให้เป็นไปตาม (๑) และ (๒) และกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ<br />
<br />
(๔) ให้คำปรึกษา แนะนำ หรือเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ รวมทั้งการให้คำแนะนำแก่หน่วยงานของรัฐในการแก้ไขข้อบกพร่องเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินแผ่นดิน<br />
<br />
(๕) สั่งลงโทษทางปกครองกรณีมีการกระทำผิดกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
<br />
ผู้ถูกสั่งลงโทษตาม (๕) อาจอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งในการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดต้องคำนึงถึงนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินและหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดินตาม (๑) และ (๒) ประกอบด้วย<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๔๑ </span></u></b>ให้มีผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนหนึ่งซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาโดยได้รับการเสนอชื่อจากคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
<br />
ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเช่นเดียวกับกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
<br />
ผู้ได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ และให้นำความในมาตรา ๒๐๔วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่ และมาตรา ๒๐๕ มาใช้บังคับแก่การแต่งตั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินด้วยโดยอนุโลม<br />
<br />
การสรรหา การคัดเลือก และการเสนอชื่อผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๔๒</span></u></b> ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินปฏิบัติหน้าที่โดยเที่ยงธรรม เป็นกลาง และปราศจากอคติทั้งปวงในการใช้ดุลพินิจ โดยมีหน้าที่และอำนาจดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) ตรวจเงินแผ่นดินตามนโยบายการตรวจเงินแผ่นดินและหลักเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับการตรวจเงินแผ่นดินที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินกำหนด และตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ<br />
<br />
(๒) ตรวจผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพในการใช้จ่ายเงินของหน่วยงานของรัฐ<br />
<br />
(๓) มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตาม (๑) และ (๒)<br />
<br />
(๔) กำกับและรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตาม (๓)<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๔๓ </span></u></b>ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่โดยรับผิดชอบต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยธุรการของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
<br />
<u><span style="color: red;">มาตรา ๒๔๔ </span></u>ในกรณีที่มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการใช้จ่ายเงินแผ่นดินมีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรืออาจทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม และเป็นกรณีที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไม่มีอำนาจจะดำเนินการใดได้ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม<br />
การทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณี เพื่อทราบและดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป<br />
<br />
ในการดำเนินการของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือหน่วยงานอื่นตามที่ได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง ให้ถือว่าเอกสารและหลักฐานที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบหรือจัดทำขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือของหน่วยงานอื่นนั้น แล้วแต่กรณี<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๔๕ </span></b></u>เพื่อประโยชน์ในการระงับหรือยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐ ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเสนอผลการตรวจสอบการกระทำที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างร้ายแรง ต่อคณะกรรมการ<br />
ตรวจเงินแผ่นดินเพื่อพิจารณา<br />
<br />
ในกรณีที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเห็นพ้องด้วยกับผลการตรวจสอบดังกล่าว ให้ปรึกษาหารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หากที่ประชุมร่วมเห็นพ้องกับผลการตรวจสอบนั้น ให้ร่วมกันมีหนังสือแจ้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบโดยไม่ชักช้า และให้เปิดเผยผลการตรวจสอบดังกล่าวต่อประชาชนเพื่อทราบด้วย<br />
<br />
<u><b><span style="color: blue;">ส่วนที่ ๖</span></b></u><br />
<u><b><span style="color: blue;">คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ</span></b></u><br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>มาตรา ๒๔๖</b></u></span> คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติประกอบด้วยกรรมการ<span style="color: purple;">จำนวนเจ็ดคน</span>ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาจากผู้ซึ่งได้รับการสรรหา<br />
ผู้ซึ่งได้รับการสรรหาต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์<br />
<br />
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีวาระการดำรงตำแหน่งเจ็ดปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และให้ดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว<br />
<br />
คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม การสรรหา และการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทั้งนี้ บทบัญญัติเกี่ยวกับการสรรหาต้องกำหนดให้ผู้แทนองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนมีส่วนร่วมในการสรรหาด้วย<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๔๗ </span></b></u>คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) ตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกกรณีโดยไม่ล่าช้าและเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่เกี่ยวข้อง<br />
<br />
(๒) จัดทำรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศเสนอต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี และเผยแพร่ต่อประชาชน<br />
<br />
(๓) เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อรัฐสภาคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดทั้งการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือคำสั่งใด ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน<br />
<br />
(๔) ชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องโดยไม่ชักช้าในกรณีที่มีการรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม<br />
<br />
(๕) สร้างเสริมทุกภาคส่วนของสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน<br />
<br />
(๖) หน้าที่และอำนาจอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
เมื่อรับทราบรายงานตาม (๑) และ (๒) หรือข้อเสนอแนะตาม (๓) ให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการปรับปรุงแก้ไขตามความเหมาะสมโดยเร็ว กรณีใดไม่อาจดำเนินการได้หรือต้องใช้เวลาในการดำเนินการให้แจ้งเหตุผลให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบโดยไม่ชักช้า<br />
<br />
ในการปฏิบัติหน้าที่ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต้องคำนึงถึงความผาสุกของประชาชนชาวไทยและผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติเป็นสำคัญด้วย<br />
<br />
<b><u><span style="color: blue;">หมวด ๑๓</span></u></b><br />
<b><u><span style="color: blue;">องค์กรอัยการ</span></u></b><br />
<br />
<span style="color: red;"><u><b>มาตรา ๒๔๘ </b></u></span>องค์กรอัยการมีหน้าที่และอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายพนักงานอัยการมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีและการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปโดยรวดเร็ว เที่ยงธรรมและปราศจากอคติทั้งปวง และไม่ให้ถือว่าเป็นคำสั่งทางปกครอง<br />
<br />
การบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่นขององค์กรอัยการให้มีความเป็นอิสระโดยให้มีระบบเงินเดือนและค่าตอบแทนเป็นการเฉพาะตามความเหมาะสมและการบริหารงานบุคคลเกี่ยวกับพนักงานอัยการต้องดำเนินการโดยคณะกรรมการอัยการ ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยประธานกรรมการ<br />
ซึ่งต้องไม่เป็นพนักงานอัยการ และผู้ทรงคุณวุฒิบรรดาที่ได้รับเลือกจากพนักงานอัยการ ผู้ทรงคุณวุฒิดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบุคคลซึ่งไม่เป็นหรือเคยเป็นพนักงานอัยการมาก่อนสองคน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
กฎหมายตามวรรคสาม ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้พนักงานอัยการกระทำการหรือดำรงตำแหน่งใด<br />
อันอาจมีผลให้การสั่งคดีหรือการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามวรรคสอง หรืออาจทำให้มีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวต้องกำหนดให้ชัดแจ้งและใช้เป็นการทั่วไป โดยจะมอบอำนาจให้มีการพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไปมิได้<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><u>หมวด ๑๔</u></span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><u>การปกครองส่วนท้องถิ่น</u></span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๔๙</span></u></b> ภายใต้บังคับมาตรา ๑ ให้มีการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามวิธีการและรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
การจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบใดให้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่นและความสามารถในการปกครองตนเองในด้านรายได้ จำนวนและความหนาแน่นของประชากร และพื้นที่ที่ต้องรับผิดชอบ ประกอบกัน<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๕๐</span></b></u> องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่และอำนาจดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
การจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะใดที่สมควรให้เป็นหน้าที่และอำนาจโดยเฉพาะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบ หรือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการใด ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติซึ่งต้องสอดคล้องกับรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามวรรคสี่ และกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับกลไกและขั้นตอนในการกระจายหน้าที่และอำนาจ ตลอดจนงบประมาณและบุคลากรที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจดังกล่าวของส่วนราชการให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย<br />
<br />
ในการจัดทำบริการสาธารณะหรือกิจกรรมสาธารณะใดที่เป็นหน้าที่และอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ถ้าการร่วมดำเนินการกับเอกชนหรือหน่วยงานของรัฐหรือการมอบหมายให้เอกชนหรือหน่วยงานของรัฐดำเนินการ จะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนในท้องถิ่นมากกว่าการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะดำเนินการเอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะร่วมหรือมอบหมายให้เอกชนหรือหน่วยงานของรัฐ<br />
ดำเนินการนั้นก็ได้<br />
<br />
รัฐต้องดำเนินการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีรายได้ของตนเองโดยจัดระบบภาษีหรือการจัดสรรภาษีที่เหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาการหารายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำเนินการตามวรรคหนึ่งได้อย่างเพียงพอ ในระหว่างที่ยังไม่อาจดำเนินการได้ ให้รัฐจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปพลางก่อน<br />
<br />
กฎหมายตามวรรคหนึ่งและกฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น ต้องให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการบริหาร การจัดทำบริการสาธารณะ การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาการเงินและการคลัง และการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งต้องทำเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อการคุ้มครอง<br />
ประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นหรือประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม การป้องกันการทุจริตและการใช้จ่ายเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความแตกต่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบ และต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และการป้องกัน<br />
การก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการส่วนท้องถิ่นด้วย<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๕๑ </span></b></u>การบริหารงานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติซึ่งต้องใช้ระบบคุณธรรมและต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและความจำเป็นของแต่ละท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบ การจัดให้มีมาตรฐานที่สอดคล้องกันเพื่อให้สามารถพัฒนาร่วมกันหรือการสับเปลี่ยนบุคลากรระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกันได้<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๕๒</span></b></u> สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง<br />
ผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจากการเลือกตั้งหรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่นหรือในกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ จะให้มาโดยวิธีอื่นก็ได้ แต่ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนด้วย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๕๓</span></b></u> ในการดำเนินงาน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่นเปิดเผยข้อมูลและรายงานผลการดำเนินงานให้ประชาชนทราบ รวมตลอดทั้งมีกลไกให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๕๔</span></b></u> ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิเข้าชื่อกันเพื่อเสนอข้อบัญญัติหรือเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กฎหมายบัญญัติ<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">หมวด ๑๕</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ</span></b></u></div>
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๕๕</span></u></b> การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ จะกระทำมิได้<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๕๖ </span></u></b>ภายใต้บังคับมาตรา ๒๕๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ให้กระทำได้<br />
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาหรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย<br />
<br />
(๒) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภาและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ<br />
<br />
(๓) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผยและต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ซึ่งในจำนวนนี้ต้องมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา<br />
<br />
(๔) การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา โดยการออกเสียงในวาระที่สองนี้ให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ แต่ในกรณีที่เป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ประชาชนเป็นผู้เสนอต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนของประชาชนที่เข้าชื่อกันได้แสดงความคิดเห็นด้วย<br />
<br />
(๕) เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป<br />
<br />
(๖) การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผยและต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็รัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา โดยในจำนวนนี้ต้องมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วย<br />
ไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน และมีสมาชิกวุฒิสภาเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา<br />
<br />
(๗) เมื่อมีการลงมติเห็นชอบตาม (๖) แล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน แล้วจึงนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำความในมาตรา ๘๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
<br />
(๘) ในกรณีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด ๑ บททั่วไป หมวด ๒พระมหากษัตริย์ หรือหมวด ๑๕ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามหน้าที่หรืออำนาจได้ ก่อนดำเนินการ<br />
ตาม (๗) ให้จัดให้มีการออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จึงให้ดำเนินการตาม (๗) ต่อไป<br />
<br />
(๙) ก่อนนายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยตาม (๗) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกัน มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือของทั้งสองสภารวมกัน แล้วแต่กรณี มีสิทธิเข้าชื่อกันเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกหรือประธานรัฐสภา แล้วแต่กรณี ว่าร่างรัฐธรรมนูญ<br />
ตาม (๗) ขัดต่อมาตรา ๒๕๕ หรือมีลักษณะตาม (๘) และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับเรื่องดังกล่าวส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับเรื่อง ในระหว่างการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีจะนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยมิได้<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">หมวด ๑๖</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">การปฏิรูปประเทศ</span></b></u></div>
<br />
<span style="color: red;"><u><b>มาตรา ๒๕๗</b></u></span> การปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ต้องดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมาย ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(๑) ประเทศชาติมีความสงบเรียบร้อย มีความสามัคคีปรองดอง มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมีความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจ<br />
<br />
(๒) สังคมมีความสงบสุข เป็นธรรม และมีโอกาสอันทัดเทียมกันเพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ<br />
<br />
(๓) ประชาชนมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๕๘ </span></b></u>ให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศอย่างน้อยในด้านต่าง ๆ ให้เกิดผล ดังต่อไปนี้<br />
<u><span style="color: blue;">ก. ด้านการเมือง</span></u><br />
<br />
(๑) ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองรวมตลอดทั้งการตรวจสอบ<br />
การใช้อำนาจรัฐ รู้จักยอมรับในความเห็นทางการเมืองโดยสุจริตที่แตกต่างกัน และให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้ง<br />
และออกเสียงประชามติโดยอิสระปราศจากการครอบงำไม่ว่าด้วยทางใด<br />
<br />
(๒) ให้การดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองเป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เพื่อให้พรรคการเมืองพัฒนาเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกัน มีกระบวนการ<br />
ให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมและมีความรับผิดชอบอย่างแท้จริงในการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองและการคัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรมจริยธรรม เข้ามาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม<br />
<br />
(๓) มีกลไกที่กำหนดความรับผิดชอบของพรรคการเมืองในการประกาศโฆษณานโยบายที่มิได้วิเคราะห์ผลกระทบ ความคุ้มค่า และความเสี่ยงอย่างรอบด้าน<br />
<br />
(๔) มีกลไกที่กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรับผิดชอบต่อประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน<br />
<br />
(๕) มีกลไกแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธีภายใต้การปกครอง<br />
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข<br />
<br />
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue;">ข. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน</span></b></u><br />
<br />
(๑) ให้มีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน<br />
และการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน และเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน<br />
<br />
(๒) ให้มีการบูรณาการฐานข้อมูลของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นระบบข้อมูลเพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและการบริการประชาชน<br />
<br />
(๓) ให้มีการปรับปรุงและพัฒนาโครงสร้างและระบบการบริหารงานของรัฐและแผนกำลังคนภาครัฐให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ โดยต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับภารกิจของหน่วยงานของรัฐแต่ละหน่วยงานที่แตกต่างกัน<br />
<br />
(๔) ให้มีการปรับปรุงและพัฒนาการบริหารงานบุคคลภาครัฐเพื่อจูงใจให้ผู้มีความรู้<br />
ความสามารถอย่างแท้จริงเข้ามาทำงานในหน่วยงานของรัฐ และสามารถเจริญก้าวหน้าได้ตามความสามารถและผลสัมฤทธิ์ของงานของแต่ละบุคคล มีความซื่อสัตย์สุจริต กล้าตัดสินใจและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว มีความคิดสร้างสรรค์และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ<br />
เพื่อให้การปฏิบัติราชการและการบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีมาตรการคุ้มครองป้องกันบุคลากรภาครัฐจากการใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมของผู้บังคับบัญชา<br />
<br />
(๕) ให้มีการปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความคล่องตัว เปิดเผย ตรวจสอบได้และมีกลไกในการป้องกันการทุจริตทุกขั้นตอน<br />
<br />
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue;">ค. ด้านกฎหมาย</span></b></u><br />
<br />
(๑) มีกลไกให้ดำเนินการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับต่าง ๆ ที่ใช้บังคับอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ให้สอดคล้องกับหลักการตามมาตรา ๗๗ และพัฒนาให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยให้มีการใช้ระบบอนุญาตและระบบการดำเนินการโดยคณะกรรมการเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อให้การทำงานเกิดความคล่องตัว โดยมีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน และไม่สร้างภาระแก่ประชาชน<br />
เกินความจำเป็น เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ<br />
<br />
(๒) ปฏิรูประบบการเรียนการสอนและการศึกษาอบรมวิชากฎหมายเพื่อพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายให้เป็นผู้มีความรอบรู้ มีนิติทัศนะ และยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรมของนักกฎหมาย<br />
<br />
(๓) พัฒนาระบบฐานข้อมูลกฎหมายของรัฐโดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลกฎหมายได้สะดวก และสามารถเข้าใจเนื้อหาสาระของกฎหมายได้ง่าย<br />
<br />
(๔) จัดให้มีกลไกช่วยเหลือประชาชนในการจัดทำและเสนอร่างกฎหมาย<br />
<br />
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue;">ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม</span></b></u><br />
<br />
(๑) ให้มีการกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมที่ชัดเจนเพื่อให้ประชาชนได้รับความยุติธรรมโดยไม่ล่าช้า และมีกลไกช่วยเหลือประชาชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ รวมตลอดทั้งการสร้างกลไกเพื่อให้มีการบังคับการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม<br />
<br />
(๒) ปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม กำหนดระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้ชัดเจนเพื่อมิให้คดีขาดอายุความ และสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการในการสอบสวนคดีอาญา รวมทั้งกำหนดให้การสอบสวนต้องใช้ประโยชน์จาก<br />
นิติวิทยาศาสตร์ และจัดให้มีบริการทางด้านนิติวิทยาศาสตร์มากกว่าหนึ่งหน่วยงานที่มีอิสระจากกันเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างมีทางเลือก<br />
<br />
(๓) เสริมสร้างและพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรขององค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมให้มุ่งอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนโดยสะดวกและรวดเร็ว<br />
<br />
(๔) ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่ อำนาจ และภารกิจของตำรวจให้เหมาะสม และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตำรวจให้เกิดประสิทธิภาพ มีหลักประกันว่าข้าราชการตำรวจจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้ง และโยกย้าย และการพิจารณาบำเหน็จความชอบตามระบบคุณธรรมที่ชัดเจน ซึ่งในการพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกันเพื่อให้ข้าราชการตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด มีประสิทธิภาพและภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน<br />
<br />
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;">จ. ด้านการศึกษา</span></u></b><br />
<br />
(๑) ให้สามารถเริ่มดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาตามมาตรา ๕๔ วรรคสอง เพื่อให้เด็กเล็กได้รับการพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาให้สมกับวัยโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย<br />
<br />
<u><span style="color: red;">(๒) ให้ดำเนินการตรากฎหมายเพื่อจัดตั้งกองทุนตามมาตรา ๕๔ วรรคหก ให้แล้ว</span></u>เสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้<br />
<br />
(๓) ให้มีกลไกและระบบการผลิต คัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูและอาจารย์ให้ได้ผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับความสามารถและประสิทธิภาพในการสอน รวมทั้งมีกลไกสร้างระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลของผู้ประกอบวิชาชีพครู<br />
<br />
(๔) ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนทุกระดับเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความถนัดและปรับปรุงโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยสอดคล้องกันทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่<br />
<br />
<span style="background-color: yellow; color: blue;"><u><b>ฉ. ด้านเศรษฐกิจ</b></u></span><br />
<span style="background-color: yellow; color: blue;"><u><b><br /></b></u></span>
(๑) ขจัดอุปสรรคและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมกลุ่มเศรษฐกิจต่าง ๆ อย่างยั่งยืน โดยมีภูมิคุ้มกันที่ดี<br />
<br />
(๒) สร้างกลไกเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการนำความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยี<br />
ที่ทันสมัยมาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ<br />
<br />
(๓) ปรับปรุงระบบภาษีอากรให้มีความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มพูนรายได้ของรัฐด้านต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และปรับปรุงระบบการจัดทำและการใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพและสัมฤทธิผล<br />
<br />
(๔) สร้างกลไกเพื่อส่งเสริมสหกรณ์และผู้ประกอบการแต่ละขนาดให้มีความสามารถ<br />
ในการแข่งขันอย่างเหมาะสม และส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจเพื่อสังคมและวิสาหกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสร้างกลไกเพิ่มโอกาสในการทำงานและการประกอบอาชีพของประชาชน<br />
<br />
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue;">ช. ด้านอื่น ๆ</span></b></u><br />
<br />
(๑) ให้มีระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและยั่งยืน<br />
โดยคำนึงถึงความต้องการใช้น้ำในทุกมิติ รวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศประกอบกัน<br />
<br />
(๒) จัดให้มีการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรม รวมทั้งการตรวจสอบกรรมสิทธิ์และการถือครองที่ดินทั้งประเทศเพื่อแก้ไขปัญหากรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินอย่างเป็นระบบ<br />
<br />
(๓) จัดให้มีระบบจัดการและกำจัดขยะมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ด้านอื่น ๆ ได้<br />
<br />
(๔) ปรับระบบหลักประกันสุขภาพให้ประชาชนได้รับสิทธิและประโยชน์จากการบริหารจัดการและการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพและสะดวกทัดเทียมกัน<br />
<br />
(๕) ให้มีระบบการแพทย์ปฐมภูมิที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชนในสัดส่วนที่เหมาะสม<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๕๙ </span></b></u>ภายใต้บังคับมาตรา ๒๖๐ และมาตรา ๒๖๑ การปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศซึ่งอย่างน้อยต้องมีวิธีการจัดทำแผน การมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนในการดำเนินการปฏิรูปประเทศการวัดผลการดำเนินการ และระยะเวลาดำเนินการปฏิรูปประเทศทุกด้าน ซึ่งต้องกำหนดให้เริ่มดำเนินการปฏิรูป<br />
ในแต่ละด้านภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้รวมตลอดทั้งผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังว่าจะบรรลุในระยะเวลาห้าปี<br />
<br />
ให้ดำเนินการตรากฎหมายตามวรรคหนึ่ง และประกาศใช้บังคับภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้<br />
<br />
ในระหว่างที่กฎหมายตามวรรคหนึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการปฏิรูปโดยอาศัยหน้าที่และอำนาจที่มีอยู่แล้วไปพลางก่อน<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๖๐</span></b></u> ในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตามมาตรา ๒๕๘ ง. ด้านกระบวนการยุติธรรม (๔)ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ประกอบด้วย<br />
<br />
(๑) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรมเป็นที่ประจักษ์และไม่เคยเป็นข้าราชการตำรวจมาก่อน เป็นประธาน<br />
<br />
(๒) ผู้เป็นหรือเคยเป็นข้าราชการตำรวจซึ่งอย่างน้อยต้องมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรวมอยู่ด้วยมีจำนวนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เป็นกรรมการ<br />
<br />
(๓) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้ความซื่อสัตย์สุจริตและเที่ยงธรรมเป็นที่ประจักษ์และไม่เคยเป็นข้าราชการตำรวจมาก่อน มีจำนวนเท่ากับกรรมการตาม (๒) เป็นกรรมการ<br />
<br />
(๔) ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ<br />
ให้คณะกรรมการตามวรรคหนึ่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้<br />
<br />
เมื่อครบกำหนดเวลาตามวรรคสองแล้ว ถ้าการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวยังไม่แล้วเสร็จให้การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจดำเนินการตามหลักอาวุโสตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๖๑</span></b></u> ในการปฏิรูปตามมาตรา ๒๕๘ จ. ด้านการศึกษา ให้มีคณะกรรมการที่มีความเป็นอิสระคณะหนึ่งที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งดำเนินการศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะและร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป<br />
<br />
ให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการตามวรรคหนึ่งให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ และให้คณะกรรมการดำเนินการศึกษาและจัดทำข้อเสนอแนะและร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จและเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในสองปีนับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<span style="background-color: yellow;"><u><b><span style="color: blue; font-size: large;">บทเฉพาะกาล</span></b></u></span></div>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๖๒</span></b></u> ให้คณะองคมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะองคมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๖๓ </span></u></b>ในระหว่างที่ยังไม่มีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญนี้<br />
ให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ยังคงทำหน้าที่รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาต่อไป และให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ตามลำดับ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ และให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />
และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติสิ้นสุดลงในวันก่อนวันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นตามรัฐธรรมนูญนี้<br />
<br />
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ นอกจากจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แล้ว ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม รวมทั้งเหตุแห่งการสิ้นสุดสมาชิกภาพตามที่บัญญัติไว้สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญนี้ ดังต่อไปนี้ด้วย<br />
<br />
(๑) มาตรา ๙๘ ยกเว้น (๓) (๑๒) (๑๓) (๑๔) และ (๑๕)<br />
<br />
(๒) มาตรา ๑๐๑ ยกเว้น<br />
<br />
(ก) กรณีตาม (๖) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา ๙๘ ยกเว้น (๓) (๑๒) (๑๓)<br />
(๑๔) และ (๑๕)<br />
<br />
(ข) กรณีตาม (๗) เฉพาะในกรณีที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และในส่วนที่เกี่ยวกับ มาตรา ๑๘๔ (๑)<br />
<br />
(๓) มาตรา ๑๐๘ ยกเว้น ก. คุณสมบัติตาม (๓) และ (๔) และ ข. ลักษณะต้องห้าม<br />
ตาม (๑) (๒) และ (๗) แต่เฉพาะกรณีตาม (๑) นั้น ไม่รวมส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา ๙๘ (๓) และ (๑๕)<br />
<br />
มิให้นำมาตรา ๑๑๒ มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดที่ห้ามมิให้บุคคลดำรงตำแหน่งทางการเมือง มิให้นำมาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามมาตรา ๒๖๔ ข้าราชการการเมืองที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีตามมาตรา ๒๖๔ หรือเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามมาตรา ๒๖๕ หรือสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรานี้<br />
<br />
ในระหว่างที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ตามวรรคหนึ่งให้อำนาจของประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายเป็นอำนาจของประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />
<br />
ในระหว่างที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง หากมีตำแหน่งว่างลง หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคสอง เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติแทนก็ได้<br />
<br />
เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกภายหลังจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๖๔ </span></u></b>ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ และให้นำความในมาตรา ๒๖๓ วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม<br />
<br />
รัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งนอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แล้ว ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่บัญญัติไว้<br />
<br />
สำหรับรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๖๐ ยกเว้น (๖) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา ๙๘ (๑๒) (๑๓) (๑๔)และ (๑๕) และต้องพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๑๗๐ ยกเว้น (๓) และ (๔) แต่ในกรณีตาม (๔)เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา ๙๘ (๑๒) (๑๓) (๑๔) และ (๑๕) และยกเว้นมาตรา ๑๗๐ (๕)เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามมาตรา ๑๘๔ (๑)<br />
<br />
การดำเนินการแต่งตั้งรัฐมนตรีในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙แต่ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามวรรคสองด้วย<br />
<br />
ให้นำ ความในมาตรา ๒๖๓ วรรคเจ็ด มาใช้บังคับแก่การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัฐมนตรีตามวรรคหนึ่งและวรรคสามด้วยโดยอนุโลม<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๖๕</span></b></u> ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่<br />
<br />
<span style="background-color: yellow;">ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีหน้าที่และอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗</span><br />
<span style="background-color: yellow;">แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ และให้ถือว่าบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติยังคงมีผลใช้บังคับได้ต่อไป</span><br />
<br />
ให้นำความในมาตรา ๒๖๓ วรรคเจ็ด มาใช้บังคับแก่การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติด้วยโดยอนุโลม<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๖๖ ใ</span></b></u>ห้สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปพลางก่อนเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ จนกว่าจะมีกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศที่ตราขึ้นตามมาตรา ๒๕๙<br />
เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างหรือวิธีการทำงานของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเพื่อให้การปฏิรูปประเทศตามหมวด ๑๖การปฏิรูปประเทศ มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้<br />
<br />
ให้นำความในมาตรา ๒๖๓ วรรคเจ็ด มาใช้บังคับแก่การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้วยโดยอนุโลม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๖๗</span></u></b> ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย<br />
(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้ให้แล้วเสร็จ และเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป<br />
(๑) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร<br />
(๒) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา<br />
(๓) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง<br />
(๔) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง<br />
(๕) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ<br />
(๖) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง<br />
(๗) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน<br />
(๘) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต<br />
(๙) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
(๑๐) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ<br />
<br />
การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวขึ้นใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมก็ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และต้องมุ่งหมายให้มีการขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบและต้องทำให้แล้วเสร็จภายในสองร้อยสี่สิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ และเมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />
ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เสนอตามวรรคหนึ่งเสร็จแล้ว ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันพ้นจากตำแหน่ง แต่ต้องไม่ช้ากว่าวันพ้นจากตำแหน่งของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามมาตรา ๒๖๓<br />
<br />
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เกิดประสิทธิภาพและรวดเร็วคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะขอให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญตามวรรคหนึ่งเพิ่มขึ้นก็ได้ แต่รวมแล้วต้องไม่เกินสามสิบคน<br />
<br />
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามวรรคหนึ่ง เมื่อได้รับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเวลาหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ในกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใดไม่แล้วเสร็จภายในเวลาดังกล่าว<br />
ให้ถือว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนั้นตามที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอ<br />
เมื่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จให้ส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นให้ศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา ถ้าศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องหรือคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ให้แจ้งให้ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบภายในสิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น และให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นคณะหนึ่งมีจำนวนสิบเอ็ดคน ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญหรือประธานองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และกรรมการร่างรัฐธรรมนูญซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมอบหมายฝ่ายละห้าคน เพื่อพิจารณาแล้วเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งเพื่อให้ความเห็นชอบ ถ้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติไม่เห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเกินสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป ในกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติไม่ถึงสองในสามดังกล่าว ให้ถือว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />
ให้ความเห็นชอบตามร่างที่คณะกรรมาธิการวิสามัญเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๘๑<br />
<br />
เพื่อประโยชน์แห่งการขจัดส่วนได้เสีย ห้ามมิให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายในสองปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งตามวรรคสอง<br />
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u>
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๖๘</span></b></u> ให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญนี้ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๒๖๗ (๑) (๒) (๓)และ (๔) มีผลใช้บังคับแล้ว<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๖๙</span></b></u> ในวาระเริ่มแรก ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนสองร้อยห้าสิบคนซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติถวายคำแนะนำ โดยในการสรรหาและแต่งตั้งให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่งซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ และมีความเป็นกลางทางการเมืองจำนวนไม่น้อยกว่าเก้าคนแต่ไม่เกินสิบสองคน มีหน้าที่ดำเนินการสรรหาบุคคลซึ่งสมควรเป็นสมาชิกวุฒิสภาตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้<br />
<br />
(ก) ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการจัดให้มีการเลือกสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๑๐๗จำนวนสองร้อยคนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนวันที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๒๖๘ ไม่น้อยกว่าสิบห้าวันแล้วนำรายชื่อเสนอต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ<br />
<br />
(ข) ให้คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา คัดเลือกบุคคลผู้มีความรู้ความสามารถ<br />
ที่เหมาะสมในอันจะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติหน้าที่ของวุฒิสภาและการปฏิรูปประเทศมีจำนวนไม่เกินสี่ร้อยคน ตามวิธีการที่คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภากำหนดแล้วนำรายชื่อเสนอต่อคณะรักษา<br />
ความสงบแห่งชาติ ทั้งนี้ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จไม่ช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดตาม (ก)<br />
<br />
(ค) ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติคัดเลือกผู้ได้รับเลือกตาม (ก) จากบัญชีรายชื่อ<br />
ที่ได้รับจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ได้จำนวนห้าสิบคน และคัดเลือกรายชื่อสำรองจำนวนห้าสิบคนโดยการคัดเลือกดังกล่าวให้คำนึงถึงบุคคลจากกลุ่มต่าง ๆ อย่างทั่วถึง และให้คัดเลือกบุคคลจากบัญชีรายชื่อ<br />
ที่ได้รับการสรรหาตาม (ข) ให้ได้จำนวนหนึ่งร้อยเก้าสิบสี่คนรวมกับผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นสองร้อยห้าสิบคน และคัดเลือกรายชื่อสำรองจากบัญชีรายชื่อที่ได้รับการสรรหาตาม (ข)<br />
จำนวนห้าสิบคน ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายในสามวันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๒๖๘<br />
<br />
(๒) มิให้นำความในมาตรา ๑๐๘ ข. ลักษณะต้องห้าม (๖) ในส่วนที่เกี่ยวกับการเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาใช้บังคับแก่ผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาซึ่งได้รับสรรหาตาม (๑) (ข) และมิให้นำความในมาตรา ๑๐๘ ข. ลักษณะต้องห้าม (๒) มาตรา ๑๘๔ (๑) และมาตรา ๑๘๕ มาใช้บังคับแก่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่ง<br />
<br />
(๓) ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาตินำรายชื่อบุคคลซึ่งได้รับการคัดเลือกตาม (๑) (ค)จำนวนสองร้อยห้าสิบคนดังกล่าวขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งต่อไปและให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ<br />
<br />
(๔) อายุของวุฒิสภาตามมาตรานี้มีกำหนดห้าปีนับแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาเริ่มตั้งแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง ถ้ามีตำแหน่งว่างลง ให้เลื่อนรายชื่อบุคคลตามลำดับในบัญชีสำรองตาม (๑) (ค) ขึ้นเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทน โดยให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ดำเนินการและเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ สำหรับสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่งเมื่อพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในขณะได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ให้พ้นจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาด้วยและให้ดำเนินการเพื่อแต่งตั้งให้ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่งแทน ให้สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่าง อยู่ในตำแหน่งเท่าอายุของวุฒิสภาที่เหลืออยู่<br />
<br />
(๕) ในระหว่างที่ยังไม่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคลในบัญชีรายชื่อสำรองขึ้นเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนตำแหน่งที่ว่างตาม (๔) หรือเป็นกรณีที่ไม่มีรายชื่อบุคคลเหลืออยู่ในบัญชีสำรอง หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่ง ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาเท่าที่มีอยู่<br />
<br />
(๖) เมื่ออายุของวุฒิสภาสิ้นสุดลงตาม (๔) ให้ดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๑๐๗ ต่อไปและให้นำความในมาตรา ๑๐๙ วรรคสามมาใช้บังคับโดยอนุโลม<br />
มาตรา ๒๗๐ นอกจากจะมีหน้าที่และอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว ให้วุฒิสภาตามมาตรา ๒๖๙ มีหน้าที่และอำนาจติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ และการจัดทำและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ในการนี้ ให้คณะรัฐมนตรีแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศต่อรัฐสภาเพื่อทราบทุกสามเดือน<br />
ร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ ให้เสนอและพิจารณาในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา<br />
<br />
ร่างพระราชบัญญัติใดที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ ให้แจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบพร้อมกับการเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นในกรณีที่คณะรัฐมนตรีมิได้แจ้งว่าเป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด ๑๖<br />
<br />
การปฏิรูปประเทศ หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของแต่ละสภา อาจเข้าชื่อกันร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้วินิจฉัย การยื่นคำร้องดังกล่าวต้องยื่นก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาแล้วแต่กรณี จะพิจารณา<br />
ร่างพระราชบัญญัตินั้นแล้วเสร็จ<br />
<br />
เมื่อประธานรัฐสภาได้รับคำร้องตามวรรคสาม ให้ประธานรัฐสภาเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการร่วมซึ่งประกอบด้วยประธานวุฒิสภาเป็นประธาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนคณะรัฐมนตรีคนหนึ่ง และประธานคณะกรรมาธิการสามัญคนหนึ่งซึ่งเลือกกันเองระหว่างประธานคณะกรรมาธิการสามัญในวุฒิสภาทุกคณะเป็นกรรมการ เพื่อวินิจฉัย<br />
<br />
การวินิจฉัยของคณะกรรมการร่วมตามวรรคสี่ให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ คำวินิจฉัยของคณะกรรมการร่วมดังกล่าวให้เป็นที่สุด และให้ประธานรัฐสภาดำเนินการไปตามคำวินิจฉัยนั้น<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๗๑ </span></u></b>ในวาระเริ่มแรกภายในอายุของวุฒิสภาตามมาตรา ๒๖๙ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรยับยั้งไว้ตามมาตรา ๑๓๗ (๒) หรือ (๓) ให้กระทำโดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ถ้าร่างพระราชบัญญัตินั้นเกี่ยวกับ<br />
<br />
(๑) การแก้ไขเพิ่มเติมโทษหรือองค์ประกอบความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ เฉพาะเมื่อการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นมีผลให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากความผิดหรือไม่ต้องรับโทษ<br />
<br />
(๒) ร่างพระราชบัญญัติที่วุฒิสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ว่ามีผลกระทบต่อการดำเนินกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรงมติของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาที่ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติตามวรรคหนึ่ง ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๗๒ </span></u></b>ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๕๙ เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙ วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๕๙ วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา<br />
<br />
ในระหว่างเวลาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมือง<br />
แจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ในกรณีเช่นนั้น ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลันและในกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ ให้ดำเนินการตามวรรคหนึ่งต่อไป โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมือง<br />
แจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ หรือไม่ก็ได้<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๗๓</span></b></u> ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และเมื่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องที่จัดทำขึ้นตามมาตรา ๒๖๗ใช้บังคับแล้ว การดำรงตำแหน่งต่อไปเพียงใดให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว<br />
ในระหว่างเวลาที่ยังไม่มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นตามมาตรา ๒๖๗ การพ้นจากตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง<br />
<br />
การดำเนินการของศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระ และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้<br />
<br />
ในระหว่างที่ยังไม่มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญการพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">มาตรา ๒๗๔ </span></b></u>ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นองค์กรตามมาตรา ๖๐ วรรคสาม และให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติดังกล่าวให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้<br />
และเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๗๕</span></u></b> ให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีกฎหมายตามมาตรา ๖๕ วรรคสอง ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ และดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับ<br />
มาตรา ๒๗๖ ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระดำเนินการให้มีมาตรฐานทางจริยธรรมตามมาตรา ๒๑๙ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระพ้นจากตำแหน่ง<br />
<br />
ในกรณีที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระพ้นจากตำแหน่งตามวรรคหนึ่งระยะเวลาหนึ่งปีตามวรรคหนึ่งให้นับแต่วันที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ารับหน้าที่ และให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่ง<br />
ในองค์กรอิสระที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นใหม่ด้วยโดยอนุโลม<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๗๗</span></u></b> นอกจากที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะในรัฐธรรมนูญนี้ ให้คณะรัฐมนตรีเสนอกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๙๖ มาตรา ๑๙๘ และมาตรา ๒๔๘ วรรคสาม ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้<br />
ในระหว่างที่ยังไม่มีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรา ๑๙๖ มาตรา ๑๙๘และมาตรา ๒๔๘ วรรคสาม ให้คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองและคณะกรรมการอัยการ ที่มีอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ทำหน้าที่คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง และคณะกรรมการอัยการตามมาตรา ๑๙๖ มาตรา ๑๙๘<br />
และมาตรา ๒๔๘ วรรคสาม แล้วแต่กรณี ไปพลางก่อน<br />
<br />
ในระหว่างที่ยังไม่มีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๒๔๘ วรรคสี่ห้ามมิให้พนักงานอัยการดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐในทำนองเดียวกันหรือดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วนบริษัทหรือกิจการอื่นใดที่มีวัตถุประสงค์มุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นที่ปรึกษาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือดำรงตำแหน่งอื่นใดในลักษณะเดียวกัน<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๗๘</span></u></b> ให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้หน่วยงานของรัฐที่คณะรัฐมนตรีกำหนดดำเนินการให้จัดทำร่างกฎหมายที่จำเป็นตามมาตรา ๕๘ มาตรา ๖๒ และมาตรา ๖๓ ให้แล้วเสร็จและเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในสองร้อยสี่สิบวันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ และให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />
พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้น<br />
<br />
ในกรณีที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ให้คณะรัฐมนตรีกำหนดระยะเวลาที่แต่ละหน่วยงานต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามความจำเป็นของแต่ละหน่วยงาน แต่ทั้งนี้เมื่อรวมแล้วต้องไม่เกินสองร้อยสี่สิบวันตามวรรคหนึ่ง<br />
<br />
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐตามวรรคหนึ่งไม่อาจดำเนินการได้ภายในกำหนดเวลาตามวรรคสองให้คณะรัฐมนตรีสั่งให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นพ้นจากตำแหน่ง<br />
<br />
<b><u><span style="color: red;">มาตรา ๒๗๙</span></u></b> บรรดาประกาศ คำสั่ง และการกระทำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ หรือที่จะออกใช้บังคับต่อไปตามมาตรา ๒๖๕ วรรคสอง ไม่ว่าเป็นประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำที่มีผลใช้บังคับในทางรัฐธรรมนูญ ทางนิติบัญญัติ ทางบริหาร หรือทางตุลาการ ให้ประกาศ คำสั่ง การกระทำ<br />
ตลอดจนการปฏิบัติตามประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำนั้น เป็นประกาศ คำสั่ง การกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมาย และมีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ต่อไป การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมประกาศหรือคำสั่งดังกล่าว ให้กระทำเป็นพระราชบัญญัติ เว้นแต่ประกาศหรือคำสั่งที่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจทางบริหาร การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมให้กระทำโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรี<br />
หรือมติคณะรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี<br />
<br />
บรรดาการใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ ว่าเป็นการชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมาย<br />
<br />
ผู้รับสนองพระราชโองการ<br />
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา<br />
นายกรัฐมนตรี<br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="color: #660000;">กังวาล ทองเนตร </span></u></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="color: #660000;">คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครองมหาวิทยาลัยรามคำแหง เรียบเรียง</span></u></b></div>
Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-12855100359495571252016-11-05T16:04:00.000+07:002019-01-11T17:03:44.807+07:00วิธีบริหารจัดการบล็อก<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-zftsnb-W5x8/WB2OW8PB50I/AAAAAAAAOGo/S8E6eVTi_JoujQMYVqK62VApQVcu3cUFwCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A0.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="336" src="https://2.bp.blogspot.com/-zftsnb-W5x8/WB2OW8PB50I/AAAAAAAAOGo/S8E6eVTi_JoujQMYVqK62VApQVcu3cUFwCLcB/s640/%25E0%25B8%259A0.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><span style="color: blue; font-size: large;"><u style="background-color: yellow;">รูปที่ 1</u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><i><u><span style="background-color: yellow; color: red;">คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดต้นฉบับเดิม</span></u></i></b></div>
<br />
<br />
<b><u><span style="color: red; font-size: large;">ขั้นตอนที่ 1</span></u></b><br />
<br />
<br />
<ul>
<li><b>เมื่อเราล็อกอินเข้ามาจะพบหน้าต่างตามรูปที่ 1</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/--q_tDeoQZG4/WB2WDXdKeZI/AAAAAAAAOHs/foXmwtN6tFUdJBJ78mS_SSx-mVNRDCS8gCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="340" src="https://2.bp.blogspot.com/--q_tDeoQZG4/WB2WDXdKeZI/AAAAAAAAOHs/foXmwtN6tFUdJBJ78mS_SSx-mVNRDCS8gCLcB/s640/%25E0%25B8%259A1.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">รูปที่ 2</span></b></u></div>
<b><u><span style="color: red; font-size: large;">ขั้นตอนที่ 2</span></u></b><br />
<br />
<br />
<ul>
<li><b>ให้คลิกที่แท็บเครื่องมือ <span style="color: red;">บทความใหม่ </span>เมื่อเราต้องการเขียนบทความใหม่</b></li>
<li><b>หรือคลิกที่แท็บปุ่มเครื่องมือ <span style="color: blue;">บทความ</span> เราก็จะพบหน้าบทความเก่าที่เราอัพไปแล้วตามรูปที่ 3</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-xlKtgvuz-RA/WB2W7EK65pI/AAAAAAAAOIA/lsO5ma7IwIAuJuZg72q9CW8m1jtIgYzyQCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="350" src="https://3.bp.blogspot.com/-xlKtgvuz-RA/WB2W7EK65pI/AAAAAAAAOIA/lsO5ma7IwIAuJuZg72q9CW8m1jtIgYzyQCLcB/s640/%25E0%25B8%259A01.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-UKMvTXv-y0s/WB2W7KsVDsI/AAAAAAAAOIE/tN-kDuOHHb4XYL7u0h555ap_DQbmr0yRgCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A02.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="352" src="https://4.bp.blogspot.com/-UKMvTXv-y0s/WB2W7KsVDsI/AAAAAAAAOIE/tN-kDuOHHb4XYL7u0h555ap_DQbmr0yRgCLcB/s640/%25E0%25B8%259A02.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><u>รูปที่ 3</u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><u><br /></u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="background-color: yellow; font-size: large;">ขั้นตอนที่ 3</span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เมื่อเราคลิกเข้ามาจะเห็นหน้าจัดการบทความเก่าที่เราอัพขึ้นสู่เว็บไซต์ไปแล้ว และจะเห็นจำนวนผู้เข้ามาชมมาอ่านในแต่ละบทความตามรูป ที่ 3-4</b></li>
</ul>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-xlKtgvuz-RA/WB2W7EK65pI/AAAAAAAAOIA/vl41uAFobLgMzP7ayB_Z_x0NxV9XSxQEACEw/s1600/%25E0%25B8%259A01.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="350" src="https://3.bp.blogspot.com/-xlKtgvuz-RA/WB2W7EK65pI/AAAAAAAAOIA/vl41uAFobLgMzP7ayB_Z_x0NxV9XSxQEACEw/s640/%25E0%25B8%259A01.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><span style="color: blue; font-size: large;"><u style="background-color: yellow;">รูปที่ 4</u></span></b></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-Q8XcBlnJVr4/WB2VALZaZbI/AAAAAAAAOHo/JzyCyttyfS8wH39QWSAPRO9JGez_z6sIwCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="334" src="https://2.bp.blogspot.com/-Q8XcBlnJVr4/WB2VALZaZbI/AAAAAAAAOHo/JzyCyttyfS8wH39QWSAPRO9JGez_z6sIwCLcB/s640/%25E0%25B8%259A2.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><span style="color: blue; font-size: large;"><u style="background-color: yellow;">รูปที่ 5</u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><span style="color: blue; font-size: large;"><u style="background-color: yellow;"><br /></u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="font-size: large;"><u style="background-color: yellow;">ขั้นตอนที่ 4</u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เมื่อเราคลิกที่แท็บบทความใหม่จะปรากฎหน้านี้ขึ้นมาตามรูปที่ 5 คลิกที่ปุ่ม<u><span style="color: red;"> เขียน เมื่อต้องการเขียนบทความโดยใช้ภาษาปกติ</span></u></b></li>
<li><b>คลิกที่ปุ่ม <span style="color: blue;">html </span>เมื่อเราต้องการเขียนเว็บบล็อกแบบใช้<span style="color: blue;">ภาษา html </span>หรือวาง โค้ดโฆษณา หรือแก้ไขรายละเอียดอื่นของบล็อกในหน้านี้</b></li>
<li><b>คลิกที่ปุ่มจอสี่เหลี่ยมเมื่อต้องการอัพไฟล์ภาพจากคอมฯของเราเข้าสู่หน้างานเราและนำเผยแพร่สู่ระบบเว็บไซต์</b></li>
<li><b>คลิกปุ่ม วีดีโอ ซึ่งถัดจากปุ่มภาพ เพื่ออัพโหลดไฟล์วีดีโอ เข้าสู่หน้างานและอัพสู่เว็บไซต์ต่อไป</b></li>
<li><b>คลิกที่ปุ่มแท็ก เมื่อต้องการล้างแท็กที่ติดมาด้วยกับไฟล์ข้อมูลที่เรา ก๊อปปี้ไฟล์งานมาจากที่อื่น เช่นรูปแบบอักษร ขนาดอักษร สีอักษร พื้นหลัง ลิงค์ต่างๆ เมื่อเราเลือกตำแหน่งที่เราต้องการแล้วคลิกที่แท็ก ข้อมูลเดิมจะถูกล้างหายไปเหลือแต่ไฟล์ธรรมดาที่ไม่ติดแท็กมาด้วย</b></li>
<li><b>คลิกปุ่มบันทึกเมื่อเรา ยังเขียนไฟล์งานไม่เสร็จ ระบบจะจัดการบันทึกไฟล์หน้านั้นๆเป็นฉบับร่างทันที โดยยังไม่ทำการเผยแพร่ จนกว่าเราจะกลับมาแก้ไขหรือเขียนต่อให้เสร็จแล้วคลิกเผยแพร่</b></li>
<li><b>คลิกปุ่มแท็บ เผยแพร่เมื่อเรา ตรวจสอบความถูกต้องดีแล้ว เมื่อเราคลิกเผยแพร่ ไฟล์งานหน้านี้จะถูกอัพเดตขึ้นสู่เว็บไซต์ทันที</b></li>
</ul>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-Zkm2vDdHMr4/WB2WVl6DRQI/AAAAAAAAOII/Hcu5ZuZ391os8qXHLs-ENTCxsfoc-rIOwCEw/s1600/%25E0%25B8%259A3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="330" src="https://1.bp.blogspot.com/-Zkm2vDdHMr4/WB2WVl6DRQI/AAAAAAAAOII/Hcu5ZuZ391os8qXHLs-ENTCxsfoc-rIOwCEw/s640/%25E0%25B8%259A3.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">รูปที่ 6</span></b></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="background-color: yellow; font-size: large;">รูปที่ 6 </span><span style="background-color: yellow; color: red;">เป็นหน้างานที่เราจะเขียนบล็อกด้วยภาษา html</span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="background-color: yellow; font-size: large;"><br /></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-t6SluhVO4Jk/WB2WqJHjuoI/AAAAAAAAOIQ/ZJplBQ7s_bwQMYw2pU7-LFUqR_yMdZXoQCEw/s1600/%25E0%25B8%259A2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="334" src="https://1.bp.blogspot.com/-t6SluhVO4Jk/WB2WqJHjuoI/AAAAAAAAOIQ/ZJplBQ7s_bwQMYw2pU7-LFUqR_yMdZXoQCEw/s640/%25E0%25B8%259A2.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="background-color: yellow; font-size: large;"><br /></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="color: blue; font-size: large;"><span style="background-color: yellow;"><b>รูปที่ 7</b></span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<span style="color: blue;"><span style="background-color: yellow;"><b>รูปที่ 7 เป็นหน้างานเมื่อเราคลิกที่ปุ่ม เขียน จะเป็นภาษาปกติที่คล้ายกับโปรแกรมเวิร์ด และมีแท็บเครื่องมือต่างๆให้เราเลือกใช้มากมายตามต้องการ</b></span></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-BaUZdLQksXk/WB2OceEjkxI/AAAAAAAAOHE/WTLWVx6gstc5HV3HarVCrlVzeMsmEKuigCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="314" src="https://3.bp.blogspot.com/-BaUZdLQksXk/WB2OceEjkxI/AAAAAAAAOHE/WTLWVx6gstc5HV3HarVCrlVzeMsmEKuigCLcB/s640/%25E0%25B8%259A4.jpg" width="640" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">รูปที่ 8</span></u></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><br /></span></u></b></div>
<div style="text-align: left;">
<span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">รูปที่ 8 </span><b>เมื่อเราคลิกที่แท็บปุ่มภาพ จะปรากฎหน้าต่างนี้ขึ้นมาให้เราเลือกไฟล์ภาพจากคอมฯของเราได้ตามต้องการ คลิกที่ปุ่มเลือกไฟล์</b></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-5TkdHBDAUGg/WB2OdGzRG1I/AAAAAAAAOHI/5nqcvLbD_u4e-prZOAtcatWOuHyDvEFGACLcB/s1600/%25E0%25B8%259A5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="386" src="https://3.bp.blogspot.com/-5TkdHBDAUGg/WB2OdGzRG1I/AAAAAAAAOHI/5nqcvLbD_u4e-prZOAtcatWOuHyDvEFGACLcB/s640/%25E0%25B8%259A5.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><b><u>รูปที่ 9</u></b></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เมื่อเราคลิกเลือกไฟล์จะขึ้นหน้าต่างตามรูปที่ 9ขึ้นมาเพื่อให้เราเลือกไฟล์ภาพจากคอมฯของเรา</b></li>
</ul>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-uW43wRf351w/WB2gW8TYPHI/AAAAAAAAOIY/HMn7A0N6JgUbYmIgMUTYV7x_9DfQX7T8ACLcB/s1600/%25E0%25B8%259A6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="376" src="https://2.bp.blogspot.com/-uW43wRf351w/WB2gW8TYPHI/AAAAAAAAOIY/HMn7A0N6JgUbYmIgMUTYV7x_9DfQX7T8ACLcB/s640/%25E0%25B8%259A6.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">รูปที่ 10</span></b></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เมื่อเราเลือกไฟล์ภาพตามต้องการแล้วภาพจะปรากฎขึ้นเมื่อระบบทำการอัพโหลดเสร็จสิ้น และขึ้นปุ่มเลือกที่มุมล่างซ้ายตามภาพที่ 10</b></li>
</ul>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-XO1LcwDWvPk/WB2OengmINI/AAAAAAAAOHQ/GfibvGc6ESAOIF1ApypfvE538AepaXbhQCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="342" src="https://1.bp.blogspot.com/-XO1LcwDWvPk/WB2OengmINI/AAAAAAAAOHQ/GfibvGc6ESAOIF1ApypfvE538AepaXbhQCLcB/s640/%25E0%25B8%259A7.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;">รูปที่ 11</span></b></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เมื่อเราเลือกภาพจะมาปรากฎที่หน้างานในบล็อกของเราตามรูปที่ 11 และเมื่อเราต้องการจัดตำแหน่งหรือปรับขนาดภาพ ให้คลิกที่รูปภาพนั้นโดยตรง หลังจากนั้นจะมีแท็บเครื่องมือจัดการภาพขึ้นมาที่ด้านล่างหรือบนของภาพนั้น ให้เราเลือกตามต้องการ</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b><u><span style="color: red;">หมายเหตุ</span></u> ไม่ควรเลือกปุ่มขนาดเท่าเดิม เพราะจำทำให้ภาพโชว์ตามต้นฉบับ และล้นหน้าเฟรมงานออกไป ทำให้ภาพไม่สวย ควรเลือกขนาดใหญ่พิเศษ หรือเล็กกว่านั้นเพื่อลดขนาดไฟล์ให้เล็กลงง่ายต่อการเปิดเว็บด้วย</b></li>
</ul>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-HmEz_KaXxv8/WB2OfT0EAAI/AAAAAAAAOHU/WU-u8Lhh7z84ZqnN2RYrzSU1Y8HH2Xs9wCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A8.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="364" src="https://1.bp.blogspot.com/-HmEz_KaXxv8/WB2OfT0EAAI/AAAAAAAAOHU/WU-u8Lhh7z84ZqnN2RYrzSU1Y8HH2Xs9wCLcB/s640/%25E0%25B8%259A8.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><b><u>รูปที่ 12</u></b></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เมื่อเราเลือกปุ่มวีดีโอจะปรากฎหน้าต่างนี้ขึ้นมาให้เราเลือกอัพโหลดไฟล์ตามต้นทางที่เรามีไฟล์นั้นตามต้องการ</b></li>
</ul>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-ce1bcqvc1vI/WB2OgOqs-MI/AAAAAAAAOHY/F0NF0adUaR8zSLUzCqneGRnwO2wjSaihwCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="378" src="https://4.bp.blogspot.com/-ce1bcqvc1vI/WB2OgOqs-MI/AAAAAAAAOHY/F0NF0adUaR8zSLUzCqneGRnwO2wjSaihwCLcB/s640/%25E0%25B8%259A9.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><u><b>รูปที่ 13</b></u></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เมื่อเราต้องการ สร้างลิงก์เพื่อเชื่อมต่อไปยังเว็บภายนอก หรือหน้าบล็อกอื่นของเราเอง ก็สามารถคลิกที่แท็บเครื่องมือ ลิงก์ และจะปรากฎหน้าต่างนี้ขึ้นมา ตามรูปที่ 13</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>ช่องบน เมื่อเราคลิกเลือกคำ เช่น คลิกที่นี่ ไปที่ ใหม่ ร้อน หรือ 1 2 3 4 5 6 ข้อความที่เราเลือกจะปรากฎขึ้นเองโดยอัตโนมัติที่ช่องดังกล่าว</b></li>
<li><b>แต่ถ้าเราต้องการจะพิมพ์ชื่อเว็บ นั้นๆก็สามารถพิมพ์ชื่อเว็บนั้นลงไปก่อน แล้วเลือก ข้อความดังกล่าวก็จะปรากฎในช่องนี้อัตโนมัติเช่นกัน</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>ส่วนช่องด้านล่าง เป็นช่องที่ให้เราวางลิงก์ที่อยู่เว็บที่เราจะอ้างถึงหรือเชื่อมต่อออกไปภายนอก ก็ให้นำลิงก์เว็บหรือลิงก์หน้าดังกล่าวมาวางลงในช่องนี้ จากนั้นคลิกตกลง เราก็จะสามารถเชื่อมต่อกับเว็บอื่นๆได้ทั่วโลก</b></li>
</ul>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-x2maYfe_MwU/WB2OZeco2FI/AAAAAAAAOG4/xG3OyKMatHMglxU2dF_XLTi9QPN1TpV6wCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A10.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="374" src="https://3.bp.blogspot.com/-x2maYfe_MwU/WB2OZeco2FI/AAAAAAAAOG4/xG3OyKMatHMglxU2dF_XLTi9QPN1TpV6wCLcB/s640/%25E0%25B8%259A10.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;">รูปที่ 14</span></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><u><span style="color: red;">เราสามารถสร้างหน้าเว็บของเราไว้ที่เว็บกูเกิลได้ดังนี้</span></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ol>
<li><b><span style="color: blue;">คลิกแท็บหน้าใหม่กูเกิลขึ้นมา</span></b></li>
<li><b><span style="color: blue;">จากนั้นคลิกขวาที่แท็บด้านบนที่ 3 ตามรูปที่ 14</span></b></li>
<li><b><span style="color: blue;">จะปรากฎหน้าต่างเมนูย่อยขึ้นมาตามรูปที่ 14</span></b></li>
<li><b><span style="color: blue;">คลิกเลิกปุ่มคำว่า เพิ่มหน้า ตามรูปที่ 14</span></b></li>
</ol>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-UcwGQ4_h0FI/WB2OZJ50JcI/AAAAAAAAOG0/ywWWTiLJLEIxQv_BKXsbSZsNu5dzPgnVwCLcB/s1600/%25E0%25B8%259A11.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="https://3.bp.blogspot.com/-UcwGQ4_h0FI/WB2OZJ50JcI/AAAAAAAAOG0/ywWWTiLJLEIxQv_BKXsbSZsNu5dzPgnVwCLcB/s640/%25E0%25B8%259A11.jpg" width="568" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: yellow; color: blue; font-size: large;"><u><b>รูปที่ 15</b></u></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เมื่อคลิกที่แท็บเพิ่มหน้า <span style="color: red;">ตามรูปที่ 14 </span>แล้ว จะปรากฎหน้าต่างขึ้นตาม<span style="color: red;">รูปที่ 15</span></b></li>
<li><b><span style="color: blue;">ช่องบน</span>ให้เราพิมพ์ชื่อเว็บเราลงไป</b></li>
<li><b><span style="color: blue;">ช่องล่าง</span>นำที่อยู่หรือโดเมนเนมของเราวางลงไปแทน โดยลบข้อความที่ติดมาออกก่อน จากนั้นคลิก <span style="color: red;">บันทึก</span> เราก็จะได้ หน้าเว็บเราขึ้นที่กูเกิลเพื่อสะดวกและง่ายกับเรายามที่เราจะล็อกอินเข้าไปจัดการบล็อก ก็เพียงแค่คลิกที่ปุ่มแท็บเว็บเราก็สามารถล็อกอินเข้าไปทำงานได้แล้ว</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><span style="color: #990000;"><u>กังวาล ทองเนตร คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครองมหาวิทยาลัยรามคำแหง คอมพิวเตอร์กราฟฟิกดีไซน์ มหาวิยาลัยรามคำแหง </u></span></b></div>
<br />
<br />Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-72954875418881737812016-09-20T12:55:00.003+07:002016-09-20T14:52:59.935+07:00คำสั่งทางปกครองคืออะไร<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-_T9-w_VBMB4/V-C3umNnB2I/AAAAAAAAOF8/m0ZLKl9swoIC1hWVkEy3x0rq-A9bRRMegCLcB/s1600/111.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="458" src="https://2.bp.blogspot.com/-_T9-w_VBMB4/V-C3umNnB2I/AAAAAAAAOF8/m0ZLKl9swoIC1hWVkEy3x0rq-A9bRRMegCLcB/s640/111.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<b><u><span style="color: #cc0000;">คำสั่งทางปกครองคืออะไร</span></u></b><br />
<b><u><span style="color: #cc0000;"><br /></span></u></b>
<br />
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="color: blue;">ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาตรา 5 (1)</span></u></b></div>
<br />
<ul>
<li><b><u><span style="color: red;">คำสั่งทางปกครอง หมายความว่า</span></u></b></li>
</ul>
<br />
<b>(1) การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวร หรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ</b><br />
<b><br /></b>
<b><br /></b>
<b><u><span style="color: purple;">ดังนั้นผู้ที่จะออกคำสั่งทางปกครองได้ ต้องเป็นเจ้าหน้าที่เท่านั้น </span></u></b><br />
<br />
<ul>
<li><b>เจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.นี้หมายถึงบุคคล คณะบุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งใช้อำนาจหรือได้รับมอบหรือให้ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐในการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้นในระบบราชการ รัฐวิสาหกิจหรือกิจการอื่นของรัฐหรือไม่ก็ตาม</b></li>
</ul>
<div>
<b style="background-color: yellow;"><u>ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตามวรรคนี้ จึงมีอยู่ 2กรณีคือ</u></b></div>
<div>
<ol>
<li><b>บุคคลและคณะบุคคล (หมายถึงคนเดียวหรือเป็นคณะก็ได้ )</b></li>
<li><b>นิติบุคคล ซึ่งเป็นบุคคลสมมุติตามกฎหมาย</b></li>
</ol>
<div>
<ul>
<li><b style="background-color: yellow;"><span style="color: blue;">การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายนี้จึงแบ่งออกเป็น 2 แนวทางด้วยกันคือ</span></b></li>
</ul>
</div>
</div>
<div>
<ol>
<li><b><span style="color: red;"><u>ใช้อำนาจโดยตรงตามที่ตนเองมีอยู่ตามกฎหมาย</u></span> เช่นการรับรอง การอนุมัติ การอนุญาต การสั่งการการรับจดทะเบียน การวินิจฉัยอุทธรณ์ ทั้งหมดนี้เป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ ที่ใช้อำนาจตามกฎหมายนี้ แต่ก็มิได้หมายความว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนจะมีอำนาจเท่ากันและใช้คำสั่งทางปกครองได้ทุกคนเท่ากัน</b></li>
<li><b><span style="color: red;"><u>ใช้อำนาจโดยการได้รับมอบอำนาจ </u></span>หมายถึง โดยตัวเองแล้วไม่มีอำนาจที่จะออกคำสั่งทางปกครองนั้นเลย แต่ได้รับมอบอำนาจจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจมอบหมายให้ใช้อำนาจ เช่น สถานที่ตรวจสภาพรถเอกชน ซึ่งไม่มีอำนาจโดยตนเองแต่ใช้อำนาจทางปกครองโดยได้รับมอบ หรือสภาทนายความ แพทยสภา เป็นต้น</b></li>
</ol>
<div>
<ul>
<li><b>และ<span style="background-color: yellow; color: blue;">ในมาตรา 7</span> แห่ง พ.ร.บ.ให้มีคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 9 คน โดยให้คณะกรรมการนี้มีอำนาจหน้าที่ <span style="background-color: yellow;"><span style="color: blue;">ตามมาตรา 11 มีทั้งสิ้น 6 วงเล็บ</span></span> ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการตาม พ.ร.บ.นี้ รวมถึงเรียกเจ้าหน้าที่มาชี้แจงตามที่บุคคลร้องขอได้รวมถึงเสนอแนะในการตราพระราชกฤษฎีกา การออกกฎกระทรวงหรือประกาศตามกฎหมายนี้ด้วย</b></li>
</ul>
</div>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>ดังนั้นเมื่อมีข้อสงสัยสำหรับเจ้าหน้าที่ว่าตนเองมีขอบเขตอำนาจมากน้อยเพียงใดหรือไม่ก็สามารถยื่นขอคำปรึกษากับคณะกรรมการชุดนี้ได้ <span style="background-color: yellow;">ตามมาตรา 11 (2 )</span></b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>ในส่วนของคณะกรรมการก็สามารถเรียกบุคคลทั่วไป หรือเจ้าหน้าที่ โดยให้คณะกรรมการมีหนังสือเรียกมาชี้แจงได้ <span style="background-color: yellow; color: blue;">ตามมาตรา 11 (3)</span></b></div>
<div>
<b><span style="color: red;"><br /></span></b></div>
<div>
<b><u><span style="color: red;">นอกจากนี้การทำคำสั่งทางปกครองกฎหมายยังตีกรอบให้แคบเข้ามาอีก</span><span style="background-color: yellow;">ตามมาตรา 12</span></u></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><span style="background-color: yellow;">มาตรา 12 </span>คำสั่งทางปกครองจะต้องกระทำโดยเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจในเรื่องนั้น</b></li>
</ul>
<div>
<b>หมายความว่าการทำคำสั่งทางปกครอง ถึงแม้ว่าเราจะมีอำนาจ แต่ถ้าไม่มีอำนาจในเรื่องนั้นๆ เราก็ไม่สามารถทำคำสั่งทางปกครองได้ ตาม <span style="color: red;">มาตรา 12 นี้</span></b></div>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>และใน<span style="color: red;">มาตรา 13</span>แห่ง พ.ร.บ.นี้ยังกำหนดให้เจ้าหน้าที่ที่จะทำการพิจารณาทางปกครองต้องมีหรือไม่มีคุณสมบัติตามมาตรา 13 นี้</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><u><span style="color: blue;">มาตรา 13เจ้าหน้าที่ดังต่อไปนี้จะกระทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้</span></u></b></li>
</ul>
<div>
<b>(1) เป็นคู่กรณีเอง</b></div>
</div>
<div>
<b>(2 ) เป็นคู่หมั้นหรือคู่สมรสของคู่กรณี</b></div>
<div>
<b>(3) เป็นญาติของคู่กรณีคือเป็นบุพการีหรือเป็นผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใดๆ หรือเป็นพี่น้อง หรือลูกพี่ลูกน้องนับได้เพียงภายในสามชั้นหรือเป็นญาติเกี่ยวพันทางแต่งงานนับได้เพียงสองชั้น</b></div>
<div>
<b>(4 ) เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทักษ์ หรือผู้แทนหรือตัวแทนของคู่กรณี</b></div>
<div>
<b>(5 ) เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้หรือเป็นนายจ้างของคู่กรณี</b></div>
<div>
<b>(6 ) กรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><span style="color: blue;">และข้อห้ามอื่นสำหรับเจ้าหน้าที่ที่จะพิจารณาทางปกครอง กำหนดไว้ใน </span><span style="color: red;">มาตรา 16</span></b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><u><span style="color: purple; font-size: large;">ข้อยกเว้นตามมาตรา 13-16</span></u></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b><span style="background-color: yellow; color: red;">*** แต่คุณสมบัติห้ามตามมาตรา 13นี้</span> ก็มีข้อยกเว้น หมายถึงถ้าเป็นบุคคลตามเงื่อนไขห้ามตาม 6 วงเล็บนี้ ก็สามารถพิจารณาทางปกครองได้ ถ้าเข้าตามเงื่อนไขตามที่กฎหมายยกเว้นไว้โดยกฎหมายจะกำหนดข้อยกเว้นไว้ใน<span style="background-color: yellow; color: blue;">มาตรา 18</span></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><span style="color: blue;">มาตรา 18 บทบัญญัติในมาตรา 13ถึงมาตรา 16</span>ไม่ให้นำมาบังคับใช้กับกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้ล่าช้าไปจะเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ หรือสิทธิของบุคคลจะเสียหายโดยไม่มีทางแก้ไขได้ หรือไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนผู้นั้นได้</b></li>
</ul>
<div>
<b>และใน<u><span style="color: red;">มาตรา 22</span></u> แห่ง พ.ร.บ.นี้ยังกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะพิจารณาทางปกครองได้ ตามความใน<span style="color: red;"><u>มาตรา 22 นี้</u></span></b></div>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><u><span style="color: red;">ส่วนคู่กรณี ระบุไว้ในมาตรา 21</span></u> และคู่กรณีสามารถแต่งตั้งให้บุคคลกระทำการแทนตนเองได้ ตามมาตรา 23</b></li>
</ul>
<div>
<b><span style="color: blue; font-size: large;"><u>ในการพิจารณา</u></span></b></div>
</div>
<div>
<b><span style="color: blue; font-size: large;"><u><br /></u></span></b></div>
<div>
<b><span style="color: red;"><u>เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งสิทธิ แจ้งกระบวนการพิจารณาต่างๆให้คู่กรณีทราบ ตามความในมาตรา 27ดังนี้</u></span></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>มาตรา 27 ให้เจ้าหน้าที่แจ้งสิทธิและหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองให้คู่กรณีทราบตามความจำเป็นแก่คู่กรณี</b></li>
</ul>
<div>
<b><u><span style="color: blue; font-size: large;">กรณีทำคำสั่งทางปกครองกระทบสิทธิของคู่กรณี</span></u></b></div>
<div>
<ul>
<li><b> เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสได้ทราบข้อเท็จจริง ตามมาตรา 30 ทั้งหมด 6 วงเล็บ</b></li>
</ul>
<div>
<b><u><span style="color: red;">รูปแบบการทำคำสั่งทางปกครอง</span></u></b></div>
</div>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><span style="color: red;">มาตรา 34</span> คำสั่งทางปกครองอาจทำเป็นหนังสือหรือวาจาหรือการสื่อความหมายในรูปแบบอื่นก็ได้ แต่ต้องมีข้อความหรือความหมายที่ชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจได้</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;">การสิ้นอายุของคำสั่งทางปกครอง</span></u></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ol>
<li><b>สิ้นอายุตามเงื่อนไขเวลาตามที่เจ้าหน้าที่ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ในคำสั่งนั้น</b></li>
<li><b>ถูกเพิกถอนคำสั่ง อาจโดยเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งหรือ คำสั่งศาลปกครอง <span style="color: red;">ตามมาตรา 72</span> แห่ง <span style="color: red;">พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง พ.ศ.2542</span></b></li>
</ol>
<div>
<ul>
<li><b>สรุปการใช้อำนาจตามกฎหมายนี้ เป็นการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตามที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น </b></li>
<li><b><span style="color: #660000;">ส่วนคู่กรณีสามารถใช้สิทธิ ตามช่องทางที่กฎหมายเปิดไว้ให้ได้ และกรณีอุทธรณ์ให้อุทธรณ์ต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่ง </span><span style="background-color: yellow; color: blue;">ภายใน 15 วั</span><span style="background-color: yellow;"><span style="color: blue;">น</span><span style="color: yellow;"> </span></span><span style="color: #660000;">นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง</span></b></li>
</ul>
<div>
<b><u><span style="color: blue;">กรณีที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองมีหลักเกณฑ์พิจารณาดังนี้</span></u></b></div>
</div>
</div>
<div>
<ol>
<li><b>เป็นผู้เสียหายโดยตรง<span style="color: red;">ตามมาตรา 42 วรรคแรก แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีทางปกครอง พ.ศ.2542</span></b></li>
<li><b>ใช้สิทธิตามกฎหมาย จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีทางปกครอง พ.ศ.2542</b></li>
<li><b>ใช้สิทธิตามมาตรา <span style="color: blue;">9 (1 ) หรือ (1)-(6)</span></b></li>
<li><b>พิจารณาว่า คู่กรณีหรือคู่พิพาทเข้าตามกฎเกณฑ์ที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาลปกครองหรือไม่</b></li>
<li><b>ร้องขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาหรือกำหนดเงื่อนไข เพิกถอนกฎ คำสั่ง หรือื่นๆตาม <span style="color: red;">มาตรา 72 </span>แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีทางปกครอง</b></li>
</ol>
<div>
<b><u><span style="color: #990000;">คู่กรณีที่เข้าข่ายเป็นคดีพิพาททางปกครองมี 5 คู่ดังนี้</span></u></b></div>
</div>
<div>
<ol>
<li><b>หน่วยงานทางปกครอง พิพาทกับ หน่วยงานทางปกครอง</b></li>
<li><b>หน่วยงานทางปกครอง พิพาทกับ เจ้าหน้าที่</b></li>
<li><b>หน่วยงานทางปกครอง พิพาทกับ เอกชน</b></li>
<li><b>เจ้าหน้าที่ พิพาทกับ เจ้าหน้าที่</b></li>
<li><b>เจ้าหน้าที่ พิพาทกับ เอกชน</b></li>
</ol>
<div>
<b><u><span style="background-color: yellow; color: blue;">หมายเหตุ</span></u></b></div>
<div>
<ul>
<li><b>คดีที่จัดว่าเป็นคดีทางปกครอง คู่พิพาทต้องเข้าตามหลัก 5 กรณีนี้เท่านั้น จะไม่มี เอกชน พิพาทกับเอกชน ซึ่งไม่เข้าข่ายคดีทางปกครองตาม พ.ร.บ.นี้</b></li>
</ul>
</div>
</div>
<div>
<span style="color: #660000;"><b><br /></b></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #660000;"><b><u>กังวาล ทองเนตร ภาควิชาการปกครองคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง</u></b></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #660000;"><b><u><br /></u></b></span></div>
<div style="text-align: center;">
<span style="color: #660000;"><b><u><br /></u></b></span></div>
Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-23022094253798065752016-09-19T14:49:00.000+07:002016-09-19T15:55:55.718+07:00กศน.ความสำเร็จบนความล้มเหลว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-Seev-4whRO4/V9-GNmceabI/AAAAAAAAOFc/zG-cikHL7VEpt_CAJx5OE_ikEDFTI5SgACLcB/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25990.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="464" src="https://2.bp.blogspot.com/-Seev-4whRO4/V9-GNmceabI/AAAAAAAAOFc/zG-cikHL7VEpt_CAJx5OE_ikEDFTI5SgACLcB/s640/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25990.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u><span style="color: #cc0000;">กศน.หรือการศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐาน</span></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>เป็นทางเลือกหลัก หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นฟางเส้นสุดท้าย หรือโอกาสสุดท้ายทางการศึกษา</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>สำหรับประชาชนทั่วไปที่ขาดโอกาสทางการศึกษา และสำหรับเรียนนักศึกษา ที่ถูกผลักดันโดยครู หรือโดยโรงเรียนในระบบ ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>กศน.จึงเปรียบเสมือน ฟางเส้นสุดท้ายของชีวิตจริงสำหรับคนไทย เพราะถ้าเราจบ มัยมต้นจากโรงเรียน ในระบบมา แต่ถูกผลักดันให้ออกจากโรงเรียน ในชั้น มัธยมปลาย ชีวิตการศึกษาเราก็จะขาดช่วงทันที</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>นั่นหมายถึงว่าเราไม่มีโอกาสที่จะก้าวไปสู่ในระดับที่สูงขึ้นหรือระดับอุดมศึกษา หรือมหาวิทยาลัยได้เลย เพราะความรู้เราขาดตอน ขาดช่วง มัยมศึกษาตอนปลายหรือ ม.6</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>ดังนั้น กศน.จึงเป็นประตูสำคัญที่จะทำให้เราได้มีโอกาส ต่อยอดทางการศึกษา ได้ต่อยอดทางชีวิตหน้าที่การงาน ให้สูงขึ้นได้ เปรียบเสมือนเป็นการ อัพเลเวลทางสังคมของตนเองให้สูงขึ้นนั่นเอง</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><u><span style="color: blue;">การศึกษา ทำให้คนเรา เท่าเทียมกัน</span></u> หรืออาจทำให้คนเราต่างกันก็ได้ในขณะเดียวกัน กล่าวคือ ถ้ามีเราการศึกษาเท่ากัน หรือใกล้เคียงกัน ก็จะทำให้สถานะทางสังคมของเราแต่ละคนไม่ห่าง หรือแตกต่างกันมากนัก</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>เมื่อเรามีการศึกษาไม่เท่ากัน ก็จะทำให้เรามีความเหลื่อมล้ำกันทางสังคมตามไปด้วย เช่น</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>ถ้าเราจบการศึกษาในระดับที่แตกต่างกัน ก็จะทำให้เรา ทำงานที่แตกต่างกันตามไปด้วย เมื่องานมีลักษณะต่างกัน ก็จะทำให้รายได้ของคนเราแตกต่างกัน เมื่อรายได้แตกต่างกัน ก็จะส่งผลต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ หรือกินดีอยู่ดีแตกต่างกัน หรือความมั่นคงในชีวิตแตกต่างกันตามไปด้วย</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>ด้วยเหตุนี้การศึกษาจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต และจำเป็นในทางสังคม การที่ประชาชาติมีการศึกษาสูงขึ้นก็จะหมายถึง พลเมืองในชาตินั้น ถูกยกระดับขึ้นให้เป็นสังคมของชนชั้นกลาง</b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>หมายถึงสังคมของชนชั้นที่มีการศึกษา และมีรายได้ในระดับที่ดูแลตนเองและครอบครัวได้โดยไม่เดือดร้อน</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><u><br /></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-sV41814Lh7M/V996Gbit_HI/AAAAAAAAOE8/p30hRDnaDUgH6MKmYJAWUFzh0mJw8hoqgCLcB/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25992.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="https://3.bp.blogspot.com/-sV41814Lh7M/V996Gbit_HI/AAAAAAAAOE8/p30hRDnaDUgH6MKmYJAWUFzh0mJw8hoqgCLcB/s400/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25992.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="color: red;"><u>นักศึกษา กศน.กำลังรอเข้าห้องสอบตามสนามสอบต่างๆของ ศูนย์ กศน.</u></span></div>
<br />
<b><u><span style="color: blue;">การที่ กศน.เปิดโอกาสทางการศึกษาทางเลือกขึ้นมา จึงเป็นคุณูปการอย่างมากมายต่อสังคม</span></u></b><br />
<b><u><span style="color: blue;">ความสำเร็จของ กศน.อาจวัดได้จาก</span></u></b><br />
<b><br /></b>
<br />
<ol>
<li><b>ตัวเลขผู้ที่มาสมัครเรียนในแต่ละปี</b></li>
<li><b>ลดตัวเลขของที่อ่านหนังสือไม่ออก และตัวเลขของผู้ที่ขาดโอกาสทางการศึกษาให้กับสังคม</b></li>
<li><b>เพิ่มโอกาส เพิ่มทางเลือก ให้ประชาชนได้มีโอกาสต่อยอดทางศึกษา</b></li>
<li><b>สร้างแรงงานให้มีคุณภาพในระดีบที่สูงขึ้น ป้อนคืนสู่ตลาดแรงงาน</b></li>
<li><b>เป็นก้าวแรกที่จะผลักดันให้ประชาชนเดินไปสู่ความสำเร็จทางการศึกษา และต่อยอดทางการศึกษา และความมั่นคงด้านอาชีพให้กับประชาชน</b></li>
<li><b>ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาในแต่ละปี</b></li>
<li><b>ยกระดับและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมลง</b></li>
</ol>
<div>
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><span style="color: red;"><u>การศึกษานอกระบบปัจจุบันได้แบ่งวิธีการเรียนออกเป็น 2 แนวทางหลักดังนี้</u></span></b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ol>
<li><b>การศึกษาทางไกล เป็นการเรียนรู้โดยผู้ที่สมัครเข้าเรียน ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน โดยที่ กศน.จะอำนวยความสะดวก ด้านสื่อการศึกษาในรูปแบบต่างๆให้ รวมถึง ติดต่อประสานงานกับนักศึกษาอย่างใกล้ชิด เช่นการแจ้งข่าวต่างๆ ปฏิทินการศึกษา แจ้งข่าวความเคลื่อนไหวในแต่ละภาคเรียน รวมไปถึงแจ้งข่าวการ ลงทะเบียนเรียน แจ้งผลคะแนน และอื่น โดยที่ผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น<span style="color: blue;"><a href="http://www.dei.ac.th/pic_Activity9.php" target="_blank"> สถาบันทางไกลศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนศูนย์ท้องฟ้าจำลอง</a></span></b></li>
<li><b>การศึกษาแบบพบกลุ่ม โดยที่นักศึกษาต้องเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มต่างๆตามที่ทาง กศน.ได้จัดขึ้นและกำหนดให้นักศึกษาต้องเข้าร่วม โดยที่ กศน.ยังคงอำนวยความสะดวกให้แก่นักศึกษาเช่นเดิม</b></li>
</ol>
<div>
<b><br /></b></div>
</div>
<div>
<ul>
<li><b>ดังนั้นนักศึกษาที่ต้องการจะเข้าเรียน จึงมีโอกาส มีทางเลือกตามความถนัด เวลา ที่ตนเองสามารถบริหารจัดการได้ นักศึกษาสามารถเลือกเรียน ระบบใดระบบหนึ่งให้ตรงกับความสะดวกของตนเองได้</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>เมื่อนักศึกษาได้ผ่านกระบวนการการเรียนรู้ตามหลักสูตรต่างๆของกศน.แล้ว นักศึกษาจะได้วุฒิการศึกษา ตามช่วงชั้นที่ตนเองสมัครเรียนและสอบผ่าน รวมถึง ผ่านชั่วโมงกิจกรรม เข้าร่วมสัมมนาตามกระบวนการ หลักสูตรที่ กศน.จัดขึ้น</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>วุฒิบัติจาก กศน. มีศักดิ์และสิทธิ ทางการศึกษาสมบูรณ์ เหมือนเช่น กับผู้ที่จบการศึกษาในระบบทุกประการ</b></div>
<br />
<b><br /></b>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-j_mvZQ4fKqw/V996G1h43BI/AAAAAAAAOFA/-lLKc45FeLo_wO0jkA5P5XrWIfyKvUJBgCLcB/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25993.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="301" src="https://4.bp.blogspot.com/-j_mvZQ4fKqw/V996G1h43BI/AAAAAAAAOFA/-lLKc45FeLo_wO0jkA5P5XrWIfyKvUJBgCLcB/s400/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25993.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: #990000;">การที่ตัวเลขผู้สมัครเรียน กับ กศน.ในแต่ละปีเพิ่มมากขึ้น มองได้ 2 แนวทาง</span></b></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ol>
<li><b><span style="color: blue;">ความสำเร็จในการจัดการศึกษาของ กศน. ตรงเป้าหมาย ตรงกับความต้องการ หรือสนองตอบความต้องการของประชาชน</span></b></li>
<li><b><span style="color: blue;"> เป็นความล้มเหลว ของการจัดการศึกษาในระบบ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวเลขผู้สมัครเรียนมากมายในแต่ละปีของ กศน. ส่วนหนึ่งมาจาก เด็กที่ถูกผลักให้ออกจากโรงเรียน ภาคปกติ หรือในระบบ หมายถึง เด็กพวกนี้ ถูกปฏิเสธจากโรงเรียนภาคปกติ ในระบบ หรือ โรงเรียนในระบบ ไม่สามารถพาเด็กเหล่านี้ไปสู่ฝั่งฝันได้</span></b></li>
</ol>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>จึงผลักเด็กออกมาเผชิญชะตากรรมตามลำพังในสังคม โดยที่โรงเรียนไม่สนใจผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและอนาคตของเด็ก ว่าจะมีชะตาชีวิตอย่างไร ทั้งที่ โรงเรียนปกติ หรือครู สามารถจะยื้อให้เด็กอยู่ต่อ ได้มีโอกาสเรียนหนังสือ จนจบชั้นนั้นๆได้ หรือจัดสรรห้องพิเศา สำหรับเด็กที่มีพลังให้เรียนเฉพาะกลุ่มได้ แต่โรงเรียนปกติก็ไม่ได้กระทำสิ่งนั้น</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b>ใ<span style="color: #990000;">นทางตรงกันข้าม เด็กที่ถูกผลักออกจากโรงเรียนปกติในระบบ กลับมีผลการเรียนดี มีกิจกรรมเด่นใน กระบวนการศึกษาทางเลือกตามแบบ กศน.</span></b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: #990000;"><br /></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: #990000;">ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของ กศน.จึงเปรียบเสมือน ความล้มของภาครัฐในการจัดการศึกษาในระบบไปด้วย เป็นเช่นเดียวกัน</span></b></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-A5yaCa3xXls/V996JZJ9IMI/AAAAAAAAOFE/YkgyZDis-nAT3BRan1piyKgkyhiFn5hFQCLcB/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25994.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="311" src="https://4.bp.blogspot.com/-A5yaCa3xXls/V996JZJ9IMI/AAAAAAAAOFE/YkgyZDis-nAT3BRan1piyKgkyhiFn5hFQCLcB/s400/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25994.jpg" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: blue;">กลุ่มสาระการเรียนรู้ของ กศน.5 กลุ่ม</span></b></u></div>
<br />
<ol>
<li> สาระทักษะการเรียนรู้</li>
<li>สาระความรู้พื้นฐาน</li>
<li>สาระการประกอบอาชีพ</li>
<li>สาระทักษะการดำเนินชีวิต</li>
<li>สาระการพัฒนาสังคม</li>
</ol>
<div>
<u><b><span style="color: #660000;">โครงสร้างหลักสูตร ของ กศน.</span></b></u></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<ul>
<li><b><span style="color: #0c343d;">ระดับมัธยมต้น (ม.3 )</span></b></li>
<li><b><span style="color: #0c343d;">ต้องสอบผ่านตามหลักสูตร </span><span style="color: blue;">จำนวน 56 หน่วยกิต</span></b></li>
<li><b><span style="color: red;">แยกเป็นวิชาบังคับ 40 หน่วยกิต</span></b></li>
<li><b><span style="color: red;">วิชาเลือก 16 หน่วยกิต</span></b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><span style="color: #0c343d;"><br /></span></b></div>
<div>
<b><span style="color: #0c343d;"><br /></span></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><span style="color: #0c343d;">ระดับมัยมศึกษาตอนปลาย ( ม.6 )</span></b></li>
<li><b><span style="color: #0c343d;">ต้องสอบผ่านตามหลักสูตร</span><span style="color: blue;">ครบ 76 หน่วยกิต</span></b></li>
<li><b><span style="color: red;">กลุ่มวิชาบังคับรวม 44 หน่วยกิต</span></b></li>
<li><b><span style="color: red;">กลุ่มวิชาเลือกจำนวน 32 หน่วยกิต</span></b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><span style="color: #0c343d;"><br /></span></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><span style="color: purple;">นอกจากนี้นักศึกษาของ กศน.ทุกระดับต้องร่วมกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ( กพช.) รวม 200 ชั่วโมง</span></b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><span style="color: purple;">หรือทำกิจกรรม กพช.ด้วยตนเองไม่น้อยกว่า 80 ชั่วโมง</span></b></div>
<div>
<b><span style="color: purple;"><br /></span></b></div>
<div>
<b><span style="color: purple;">เมื่อนักศึกษาสอบได้หน่วยกิตครบ ชั่วโมงกิจกรรมครบ นักศึกษาที่จะจบต้องร่วมสัมมนา และสอบ N -NET ด้วย จึงจะถือว่า นักศึกษาได้จบการเรียนของหลักสูตร กศน.อย่างสมบูรณ์</span></b></div>
<div>
<br /></div>
<div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://www.bkuschool.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538702877" target="_blank"><img border="0" src="https://2.bp.blogspot.com/-nyQWrGsp3ME/V9-ceo7DP9I/AAAAAAAAOFs/KzqOvSH3NuwJLPD9sjdaJJV5fM3uH0bFgCLcB/s1600/gif-gong3d.gif" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><span style="color: blue;"><a href="http://www.bkuschool.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538702877" target="_blank">สำหรับผู้ที่ต้องการเรียน กศน.และต้องการมีที่ปรึกษาวางแผนการเรียนคลิกเลย</a></span></u></div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-oah9yI7vSgo/V996KWMaGDI/AAAAAAAAOFI/9HdNWXVBtbgA4UL4xyVlo0wL0pgcx6HFwCLcB/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25995.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="303" src="https://3.bp.blogspot.com/-oah9yI7vSgo/V996KWMaGDI/AAAAAAAAOFI/9HdNWXVBtbgA4UL4xyVlo0wL0pgcx6HFwCLcB/s400/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25995.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<u><b><span style="color: red;">อนึง จุดบกพร่องของ กศน.ที่สมควรจะได้รับการแก้ไขคือ</span></b></u><br />
<br />
<br />
<ul>
<li><b>การจัดปฏิทินการศึกษาที่ไม่ชัดเจน เช่นรายวิชาที่จะเรียนในแต่ละภาคการศึกษา และตารางสอบล่วงหน้า ในรายวิชานั้นๆ ซึ่งทาง กศน น่าจะมีการกำหนดล่วงหน้าให้นักศึกษา สามารถบริหารเวลาจัดการตัวเองก่อนลงทะเบียนได้</b></li>
</ul>
<br />
<b><br /></b>
<br />
<ul>
<li><b>ทั้งนี้เพื่อลดปัญหาการสอบซ้ำซ้อน ในรายวิชา ซึ่งจะมีปัญหากับนักศึกษา </b></li>
</ul>
<br />
<b>จริงอยู่แม้ทาง กศน.จะเปิดโอกาสให้นักศึกษา ยื่นคำร้องขอสอบเป็นกรณีพิเศษ ในวันเดียวกันได้ แต่ในความเป็นจริง กรรมการคุมสอบ ไม่สามารถขยายเวลาสอบ เป็นกรณีพิเศษ ออกไปให้นักศึกษาได้ หากแต่ใช้เวลาสอบเดียวกันกับเวลาที่สอบจริง</b><br />
<b><br /></b>
<b>ทำให้นักศึกษามีปัญหาในการทำข้อสอบไม่แล้วเสร็จ ส่งผลต่อการสอบ และการขอจบการศึกษาได้ ซึ่ง ทางกศน.ต้องจัดการแก้ไขปัญหานี้ ให้หมดไปอย่างเร่งด่วน</b><br />
<br />
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: #660000;"> กังวาล ทองเนตร รัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง</span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: #660000;"><br /></span></b></u></div>
<div style="text-align: center;">
<u><b><span style="color: #660000;"><br /></span></b></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-_qPWV1WYD54/V996KyHgS_I/AAAAAAAAOFM/9oEfGYbJ1Q4c8N5PUYbHTTf6rhZO9waqgCLcB/s1600/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25996.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="305" src="https://4.bp.blogspot.com/-_qPWV1WYD54/V996KyHgS_I/AAAAAAAAOFM/9oEfGYbJ1Q4c8N5PUYbHTTf6rhZO9waqgCLcB/s400/%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A8%25E0%25B8%25996.jpg" width="400" /></a></div>
<br />Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-35038055246934404562016-08-08T15:15:00.001+07:002016-08-08T15:26:46.402+07:00หัวใจของธรรมาภิบาล<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-1w7bAaP8dR0/V6g1AVmwNDI/AAAAAAAAOEc/0Hkki1TkpKIkz4PQT0wtZ_fNljg5FKMEgCLcB/s1600/kk41.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="482" src="https://3.bp.blogspot.com/-1w7bAaP8dR0/V6g1AVmwNDI/AAAAAAAAOEc/0Hkki1TkpKIkz4PQT0wtZ_fNljg5FKMEgCLcB/s640/kk41.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u><span style="color: #660000;">หลักธรรมาภิบาล</span></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u><br /></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>หลักธรรมาภิบาล ซึ่งเรา มักจะพูดหรือมักจะได้ยินกันอยู่เป็นประจำแท้จริงแล้วมีที่มาที่ไปอย่างไร</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<b><span style="color: blue;">แนวคิดหลักธรรมาภิบาล</span> หรือ </b><u><span style="color: red;"><b>Good Governance</b></span></u> <b>ของประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นมาจาก </b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<b><span style="color: red;"><u>พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับ พ.ศ.2551 ในมาตรา 3/1</u></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
</div>
<ul>
<li><b><span style="color: purple;"><u>โดยความในมาตรา 3/1 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีข้อความดังต่อไปนี้</u></span></b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<b><span style="color: blue;">" มาตรา 3/1 การบริหารราชการตามพระราชบัญญัตินี้ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ความมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่าในเชิงภารกิจแห่งรัฐ การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน การลดภาระกิจและยุบเลิกหน่วยงานที่ไม่จำเป็น การกระจายภารกิจและทรัพยากรให้แก่ท้องถิ่น การกระจายอำนาจตัดสินใจ การอำนวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการของประชาชนทั้งนี้ โดยมีผู้รับผิดชอบต่อผลของงาน "</span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<b>จากข้อความในมาตราดังกล่าวทำให้รัฐบาลไทยได้ตรา พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 ขึ้นมา มีทั้งสิ้นจำนวน 9 หมวด รวม 53 มาตรา และมีการบันทึกเหตุผลในการตรา พ.ร.ฏ.ขึ้นมาไว้ใน หมายเหตตอนท้าย พ.ร.ฎ.นี้ด้วย</b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<b>ซึ่ง พ.ร.ฎ.นี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2546 และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 ตุลาคม 2546 ถัดจากวันประกาศ 1 วัน</b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
</div>
<ul>
<li><b><span style="color: red;"><u>ธรรมาภิบาลมีหลักการสำคัญอยู่ 6 หลัก และมีเป้าหมายในการปฏิบัติ 7 เป้าหมาย ดังนี้</u></span></b></li>
</ul>
<br />
<div class="separator" style="clear: both;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
<b><u><span style="color: #cc0000;">หลักธรรมาภิบาล 6 หลักคือ</span></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both;">
</div>
<ol>
<li><b>หลักนิติธรรม ( The Rule of Law )</b></li>
<li><b>หลักคุณธรรม (Morality)</b></li>
<li><b>หลักความโปร่งใส (Accountability)</b></li>
<li><b>หลักการมีส่วนร่วม (Participation)</b></li>
<li><b>หลักความรับผิดชอบ (Responsibility)</b></li>
<li><b>หลักความคุ้มค่า (Cost )</b></li>
</ol>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><span style="color: blue;"><u>ส่วนเป้าหมาย 7 เป้าหมายมีดังนี้</u></span></b></li>
</ul>
<b></b><br />
<ol><b>
<li>เกิดประโยชน์สุขของประชาชน</li>
<li>เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ</li>
<li>มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ</li>
<li>ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานที่เกินความจำเป็น</li>
<li>มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์</li>
<li>ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ</li>
<li>มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอยู่สม่ำเสมอ</li>
</b></ol>
<b>
<div>
<br /></div>
</b></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>โดย พ.ร.ฎ.ฉบับบนี้ได้ระบุให้ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรมและหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในกำกับของราชการ ฝ่ายบริหาร ต้องจัดทำธรรมาภิบาลให้ครบ ตาม 7 เป้าหมาย รวมไปถึงรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการ ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการก็มีผลผูกพันไปด้วย</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>อีกทั้งได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ต้องจัดทำ เป้าหมายของธรรมาภิบาลอย่างน้อย 2 เป้าหมายคือ เป้าหมายที่ 4 และเป้าหมายที่ 6เป็นอย่างน้อย และให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.ฎ.นี้</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<b><u><span style="color: #660000;">กังวาล ทองเนตร รัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครองมหาวิทยาลัยรามคำแหง</span></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-OPIlDZGLTuY/V6g1LCpoSOI/AAAAAAAAOEg/dyp7AZhNB9kC4isKZXXAb4yK4GfLY-zyQCLcB/s1600/%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="276" src="https://3.bp.blogspot.com/-OPIlDZGLTuY/V6g1LCpoSOI/AAAAAAAAOEg/dyp7AZhNB9kC4isKZXXAb4yK4GfLY-zyQCLcB/s640/%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A5.png" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-77625839188197071082016-06-01T12:16:00.001+07:002016-06-01T12:16:40.939+07:00กลุ่มประเทศโลกที่1-3คืออะไร<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-rBuV9Gya0JM/V05pqGFhaYI/AAAAAAAAOA0/1ti1k3pZkZQv62yRIRxjBYb8RMYg6ONfwCLcB/s1600/pohthaiblogspot.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="462" src="https://3.bp.blogspot.com/-rBuV9Gya0JM/V05pqGFhaYI/AAAAAAAAOA0/1ti1k3pZkZQv62yRIRxjBYb8RMYg6ONfwCLcB/s640/pohthaiblogspot.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<div style="text-align: center;">
<b><u><span style="color: purple; font-size: large;">การแบ่งกลุ่มโลกที่ 1-3</span></u></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b><u><br /></u></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>เรามักจะได้ยินมีการเรียกประเทศโลกที่ 1 ประเทศโลกที่ 2 หรือประเทศโลกที่ 3 อยู่เป็นประจำ</b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>แต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของศัพทฺ์คำนี้</b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><u><span style="color: #990000;">การแบ่งโลกออกเป็น 3 กลุ่มประเทศ มีจุดเริ่มต้นขึ้นในยุคหลังสงครามเย็น </span></u></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b>ซึ่งเกิดขึ้นระหว่าง สองค่ายยักษ์ใหญ่ คือ ค่ายเสรีประชาธิปไตย (อเมริกา ) และค่าสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (สหภาพโซเวียต ) โดยการแบ่งนี้ แบ่งตามลักษณะรูปแบบการปกครอง และระบบเศรษฐกิจดังนี้</b></div>
<div style="text-align: left;">
</div>
<ol>
<li><b><u><span style="color: red;">กลุ่มประเทศโลกที่ 1 </span></u>หมายถึงกลุ่มประเทศที่มีรูปแบบการปกครองแบประชาธิปไตยมีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือการตลาดเสรี กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม เช่น อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น เป็นต้น</b></li>
<li><b><u><span style="color: purple;">กลุ่มประเทศโลกที่ 2 </span></u>คือกลุ่มประเทศที่มีแนวคิดการปกครอง และระบบเศรษฐกิจแบบ สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ หรือมักเรียกอีกอย่างว่า กลุ่มประเทศหัวเลี้ยวหัวต่อ เช่น รัสเซีย จีน ยูเครน คาซัคสถาน โปแลนด์ ฮังการี เป็นต้น</b></li>
<li><b><u><span style="color: blue;">กลุ่มประเทศโลกที่ 3 </span></u>ได้แก่ กลุ่มประเทศที่ไม่มี ระบบเศรษฐกิจและการปกครองเป็นของตนเองเป็นการจำเพาะ แต่จะนำเอาการปกครอง และระบบเศรษฐกิจของ กลุ่มโลกที่ 1 โลกที่ 2 มาปรับใช้ ซึ่งมักเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา หรือกลุ่มประเทศยากจน เช่น เอเซีย เกาหลีเหนือ ไทย อินเดีย กัมพูชา ฯลฯ และแถบประเทศละตินอเมริกา แอฟริกา และประเทศยากจนอื่นอีกทั่วโลก</b></li>
</ol>
<div>
<ul>
<li><b>สรุปการแบ่งกลุ่มประเทศโลกที่ 1-3 จึงเป็นการแบ่งตามลักษณะรูปแบบการปกครอง ฐานะทางเศรษฐกิจ และระบบเศรษฐกิจ เป็นหลัก</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b>กังวาล ทองเนตร คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครองมหาวิทยาลัยรามคำแหง</b></div>
<br />
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: left;">
<b><br /></b></div>
Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-78883137985223909372016-03-29T12:54:00.002+07:002016-06-01T12:22:36.692+07:00เป้าหมายการมีรัฐธรรมนูญ<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-A6bgRqdDe2Y/VvoIzontqAI/AAAAAAAAN8w/-c2Y--05VYktDxHoBVHZ7qGoo7CpgO-sw/s1600/06236105654abp.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="522" src="https://1.bp.blogspot.com/-A6bgRqdDe2Y/VvoIzontqAI/AAAAAAAAN8w/-c2Y--05VYktDxHoBVHZ7qGoo7CpgO-sw/s640/06236105654abp.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: red;">อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (ไทย)</span></b></u></div>
<br />
<b><br /></b>
<b>รัฐธรรมนูญ ( constitution ) ที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คือ <u><span style="color: red;"><a href="http://freedom-thing.blogspot.com/2011/05/blog-post_3946.html" target="_blank">รัฐธรรมนูญของประเทศ สหรัฐอเมริกา </a></span></u>ซึ่งร่างขึ้นโดย มหาบุรุษ 3ท่าน ของอเมริกาคือ</b><br />
<br />
<ol>
<li><b><span style="color: #660000;"><u>เบญจมิน แฟรงคลิน</u></span></b></li>
<li><b><span style="color: #660000;"><u>เจมส์ เมดิสัน</u></span></b></li>
<li><b><span style="color: #660000;"><u>อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน</u></span></b></li>
</ol>
<div>
<b>ซึ่งรัฐธรรมนูญของอเมริกา มีเพียง 7 มาตรา เท่านั้น</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-YfFXYVaMAfA/VvoX1eFACfI/AAAAAAAAN9c/lkaFefBqRi0QCY8FSq2immdl4UpMtAj3g/s1600/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2590%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="https://3.bp.blogspot.com/-YfFXYVaMAfA/VvoX1eFACfI/AAAAAAAAN9c/lkaFefBqRi0QCY8FSq2immdl4UpMtAj3g/s640/%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2590%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B9%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2.jpg" width="530" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: red;"><br /></span></b></u></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: red;">รัฐธรรมนูญ อเมริกา</span></b></u></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><span style="color: blue;">ส่วนประเทศอังกฤษ ไม่มีรัฐธรรมนูญ มีเพียงแค่ แมกนาคาร์ตา ซึ่งจารึกเป็นภาษา ละตินแปลว่าเอกสารแผ่นใหญ่ ที่ไม่นับแมกนาคาร์ตาว่ารัฐธรรมนูญ สืบเนื่องมาจาก เนื้อหาใน แมกนาคาร์ตา เป็นเพียงข้อตกลง หรือ สัญญา ระหว่าง กษัตริย์ กับขุนนางอังกฤษในยุคสมัยนั้นเท่านั้น ไม่มีข้อความส่วนใดที่ กำหนด รูปแบบรัฐ โครงสร้างรัฐ โครงสร้างอำนาจ หรือส่วนอื่นๆ ดังนั้นแมกนาคาร์ตา จึงไม่นับเป็นรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด</span></b></li>
</ul>
</div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-dHOcYysYJWQ/VvoX1UhFJHI/AAAAAAAAN9g/jaWn6IJFcx4gHiz4HHAKGGW2qOsSJJ9bg/s1600/%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="426" src="https://4.bp.blogspot.com/-dHOcYysYJWQ/VvoX1UhFJHI/AAAAAAAAN9g/jaWn6IJFcx4gHiz4HHAKGGW2qOsSJJ9bg/s640/%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B2.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: purple;">แมกนาคาร์ตา</span></b></u></div>
<b><br /></b>
<b><span style="color: red; font-size: large;"><u>รัฐธรรมนูญ ( constitution )</u></span> คือกฎหมายแม่แบบ ที่ใช้ในการปกครองประเทศแต่ละประเทศ เหตุที่รัฐธรรมนูญ ถูกยกให้เป็นกฎหมายแม่ หรือกฎหมายสูงสุด ก็สืบเนื่องมาจาก เนื้อหาในรัฐธรรมนูญจะประกอบด้วยสิ่งต่างๆดังนี้</b><br />
<b><br /></b>
<br />
<ol>
<li><b>มีการกำหนดโครงสร้างของรัฐ หรือประเทศ หรือรูปแบบของรัฐ ว่าจะให้เป็นรูปแบบใด <span style="color: red;">เช่น สาธารณะรัฐ ( republic ) สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ( socialism ) ราชอาณาจักร (Kingdom ) เป็นต้น</span></b></li>
<li><b>มีการกำหนดโครงสร้างอำนาจ ว่าแต่ละฝ่ายมี โครงสร้างอำนาจ หน้าที่อย่างไร เช่น ฝ่ายบริหารมีวิธีการเข้าสู่อำนาจอย่างไร และออกจากอำนาจอย่างไร หรือผ่ายตุลาการ นิติบัญญัติ มีโครงสร้างอำนาจอย่างไร มีที่มาที่ไปอย่างไร มีการแยกอำนาจหรือแบบรวมศูนย์อำนาจ</b></li>
<li><b>มีการกำหนดรูปแบบการปกครองรัฐหรือประเทศ ว่าใช้รูปแบบการปกครองใด อาทิ รูปแบบประธานาธิบดีแยกอำนาจ (อเมริกาเป็นต้นแบบ ) รูปแบบรัฐสภา (อังกฤษ เป็นต้นแบบ ) รูปแบบกึ่งประธานาธิบดี กึ่งรัฐสภา ( ฝรั่งเศส เป็นต้นแบบ ) หรือรุปแบบอื่นๆเช่น ราชาธิปไตย แบบชนเผ่า เป็นต้น</b></li>
<li><b>มีการกำหนดสถาบันต่างๆในทางสังคมขึ้น และแต่ละสถาบัน มีความความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกันอย่างไร เช่น สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือ ประธานาธิบดี <u><span style="color: blue;">(ในส่วนที่ทำหน้าที่ ประมุขแห่งรัฐ )</span></u> สถาบันทางการเมือง สถาบันทางตุลาการ สถาบันทางการศึกษา และสถาบันทางสังคมอื่นๆ</b></li>
<li><b>มีการกำหนดโครงสร้าง หน่วยงานทางการปกครอง มีกี่ระดับ ระดับใดบ้าง มีความสัมพันธ์กันอย่างไร มีการจัดการปกครอง อย่างไร</b></li>
<li><b>มีการกำหนดขั้นตอนการใช้อำนาจ ทั้งฝ่ายบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ ว่ามีขั้นตอนระเบียบปฏิบัติอย่างไร</b></li>
<li><b>มีการกำหนดบทบาท สิทธิ หน้าที่ ของ พลเมือง หรือสมาชิกในสังคมนั้นๆว่าต้องมี บทบาท สิทธิ หน้าที่ อย่างไร</b></li>
<li><b>มีการกำหนดและคุ้มครอง หรือ รับรอง บทบาท หน้าที่ สิทธิ ของพลเมืองในประเทศนั้นๆว่าจะได้รับการคุ้มครอง ดูและจากรัฐอย่างไร</b></li>
<li><b>มีการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ ของฝ่ายบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ ที่พึงกระทำต่อ รัฐ พลเมืองของตนอย่างไร</b></li>
</ol>
<div>
<ul>
<li><b>ซึ่งโดยรวมแล้วจะเห็นว่า รัฐธรรมนูญ กำหนดโครงสร้างหลักๆของประเทศ ต่างๆเอาไว้แบบ กว้างๆไม่เจาะลึกลงในรายละเอียด ซึ่งจะไปเขียนไว้ในกฎหมายลูกแทน</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<ul>
<li><b>ดังนั้นหลักการบัญญัติรัฐธรรมนูญ ตามรูปแบบประชาธิปไตย (ที่เป็นสากล ) จะมุ่งเน้นไปที่ การรับรอง บทบาท หน้าที่ สิทธิทางธรรมชาติ ของมนุษย์ที่พึงมีพึงได้อยู่ก่อนแล้วตามธรรมชาติ ให้มีความถูกต้อง ชอบธรรม มากขึ้นเท่านั้นเอง </b></li>
</ul>
</div>
<div>
<ul>
<li><b>รัฐธรรมนูญตามหลักประชาธิปไตยสากลจึงไม่ใช่ การบัญญัติความต้องการของชนชั้นปกครอง ว่าต้องการ กระทำ หรือไม่กระทำสิ่งใด ต่อชนชั้นถูกปกครอง หากแต่เป็นการรับรองสิทธิ ต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่แล้วตามธรรมชาติ ให้ถูกต้องยิ่งขึ้นและเป็นสากล</b></li>
</ul>
</div>
<div>
<ul>
<li><b>รัฐธรรมนูญที่ดี จึงไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นจากความต้องการของชนชั้นปกครอง หรือกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่ เป็นรัฐธรรมนูญ ที่ถูกบัญญัติขึ้น หรือ ทำลายอุปสรรคต่างๆ ที่จะก่อปัญหา ที่จะกระทบสิทธิ พลเมือง หรือ อำนวยความสะดวก หรือสนองตอบความต้องการของพลเมือง เป็นหลัก</b></li>
</ul>
</div>
<br />
<div>
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<u><span style="color: #660000;"><b>กังวาล ทองเนตร คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง</b></span></u></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-734ORa68o6s/VvoJlUI4quI/AAAAAAAAN84/kivc9C1MwKMByCuGA_NBdyeDbSZjsVT8Q/s1600/Hitler-Themirror.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="424" src="https://3.bp.blogspot.com/-734ORa68o6s/VvoJlUI4quI/AAAAAAAAN84/kivc9C1MwKMByCuGA_NBdyeDbSZjsVT8Q/s640/Hitler-Themirror.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: red;">อดอป ฮิตเลอร์ (ฟาสซิสต์ เยอรมัน )</span></b></u></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-Xv_nXZwjoFs/VvoJlvYCdPI/AAAAAAAAN9A/qWW061w_z4okC7pE30LPGxtnxf4q2OQ-w/s1600/hochiminh-chandung.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-Xv_nXZwjoFs/VvoJlvYCdPI/AAAAAAAAN9A/qWW061w_z4okC7pE30LPGxtnxf4q2OQ-w/s640/hochiminh-chandung.jpg" width="486" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: red;">โฮจิมินต์ (เวียตนาม)</span></b></u></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-DmytK7_I0jA/VvoJmeoI9UI/AAAAAAAAN9E/0fulV425W7gZQKicUtYrkaiuA-WcPi6aA/s1600/images%2B%25285%2529.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="415" src="https://1.bp.blogspot.com/-DmytK7_I0jA/VvoJmeoI9UI/AAAAAAAAN9E/0fulV425W7gZQKicUtYrkaiuA-WcPi6aA/s640/images%2B%25285%2529.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: red;">เบนิโต มุสโสลินี (บิดาผู้ก่อตั้งระบอบฟาสซิสต์ อิตาลี )</span></b></u></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-921ZjU8EWTw/VvoJpZAhMxI/AAAAAAAAN9I/DpvzChbWcggUU39z63_HNaJAI5mihq5Iw/s1600/indira%2Bgandhi.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="426" src="https://1.bp.blogspot.com/-921ZjU8EWTw/VvoJpZAhMxI/AAAAAAAAN9I/DpvzChbWcggUU39z63_HNaJAI5mihq5Iw/s640/indira%2Bgandhi.jpg" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: red;">อินทิรา คานธี (อินเดีย )</span></b></u></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-2EZLJ-fl4L8/VvoJlmVKIgI/AAAAAAAAN88/RzgG_hI8NzUY4SKSFTMjNeFRDhVSBAtgg/s1600/Lenin.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="https://4.bp.blogspot.com/-2EZLJ-fl4L8/VvoJlmVKIgI/AAAAAAAAN88/RzgG_hI8NzUY4SKSFTMjNeFRDhVSBAtgg/s640/Lenin.jpg" width="586" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<u><b><span style="color: red;">เลนิน ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ (โซเวียต-รัสเซีย )</span></b></u></div>
<br />Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6991806096193641125.post-18097061813804243292016-03-18T12:23:00.000+07:002016-03-18T12:23:12.243+07:00ปัญหาพรรคการเมืองไทยตอนที่2<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://2.bp.blogspot.com/-WFYQy9MUoTU/VuuDeablxtI/AAAAAAAAN8M/Qgu7D0nLlFI_uSVG5cstAMrf6lSLjwasg/s1600/%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258B%25E0%25B8%25A72-%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="https://2.bp.blogspot.com/-WFYQy9MUoTU/VuuDeablxtI/AAAAAAAAN8M/Qgu7D0nLlFI_uSVG5cstAMrf6lSLjwasg/s640/%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%258B%25E0%25B8%25A72-%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" width="496" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="color: #660000;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: #660000;">ในตอนที่แล้วผมได้พูดถึงปัญหาในระดับสาขาพรรคและศูนย์ประสานงานพรรค รวมถึงการที่พรรคการเมืองไม่ใส่ใจที่จะขยายสาขาพรรคอย่างจริงจัง ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจาก สถานที่ก่อตั้งสาขาพรรค ซึ่งเป็นของพรรคการเมืองโดยตรง จะไม่มี แต่จะเป็นของสมาชิกพรรคบางคนที่มีกำลังในพรรคเท่านั้น ซึ่งจะส่งผลถึงการคัดสรรคนลงเป็นกรรมการบริหารศูนย์/สาขาพรรคด้วย และรวมไปถึงตัวผู้สมัครในระดับต่างๆด้วย</span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: blue;"><br /></span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><span style="color: blue;">ซึ่งปัญหานี้จะเห็นได้ชัดว่าเป็นโครงสร้างที่ไม่เปิดกว้างเป็นสาธารณะและปัญหาสถานที่ก่อตั้งสาขาพรรคมีน้อย ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจาก กฎหมาย ที่บังคับยึดทรัพย์พรรคการเมืองเมื่อ พรรคไม่ดำเนินกิการทางการเมืองหรือถูกยุบ จึงปรากฎความจริงว่า ส่วนที่เป็นทรัพย์สินพรรคการเมืองจริงๆแล้ว จึงมีเพียง โต๊ะ เก้าอี้ คอมพิวเตอร์ไม่กี่เครื่อง แก้วน้ำกระติกต้มน้ำ แก้วน้ำชา กาแฟเท่านั้นที่เป็นทรัพย์สินพรรคการเมือง ซึ่งผมได้เสนอทางแก้ไว้แล้ว</span></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><u><span style="color: #990000;"><br /></span></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><u><span style="color: #990000;">ในตอนนี้ผมจะพูดถึงปัญหาการเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง ปัญหาการหาเสียง ภายในเขต</span></u></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b><br /></b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<ul>
<li><b><u><span style="color: blue;">ปัญหาการเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง </span></u>เป็นประตูด่านแรกของการก้าวขาเข้าสู่เวทีทางการเมือง จากการศึกษาจะพบว่า ประชาชนทั่วไป หรือบุคคลที่เป็นสมาชิกพรรคทั่วไป ไม่สามารถ นำเสนอตัวเองเป็นตัวแทนพรรคลงสนามเลือกตั้งได้เลย ผู้ที่จะเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคได้ มีอยู่ 3 กรณีคือ</b></li>
</ul>
<div>
<ol>
<li><b><span style="color: red;">มีความสัมพันธ์หรือใกล้ชิดกับบุคคลที่เป็นเจ้าของสถานที่ตั้ง สาขาหรือศูนย์ประสานงานพรรคเท่านั้น</span></b></li>
<li><b><span style="color: red;">เป็นผู้มีชื่อเสียงทางสังคม หรือมีฐานะทางเศรษฐกิจดี ที่กรรมการบริหารเป็นผู้คัดสรรเลือกเข้ามาเองจากส่วนกลาง แล้วจัดสรรลงไปสู่ระดับภูมิภาค</span></b></li>
<li><b><span style="color: red;">เป็นอดีต ส.ส. ส.ว. หรืออดีตนักการเมืองระดับอื่นๆ</span></b></li>
</ol>
<div>
<b>ดังนั้นแม้ทางทฤษฎี สาขาพรรคหรือศูนย์ประสานงานพรรค สมควรเป็นผู้คัดสรรบุคคลที่มีความเหมาะสมในพื้นที่ เพื่อลงสมัครรับการเลือกตั้งเพื่อเป็นตัวแทนพรรค และส่งรายชื่อที่ทางศูนย์หรือสาขาพรรคมีมติเลือกบุุคคลนั้นๆ ส่งไปยังพรรคส่วนกลางอนุมัติเห็นชอบ</b></div>
</div>
<div>
<b>แต่ในทางปฏิบัติ สาขาหรือศูนย์ ฯ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของขั้นตอน กรรมวิธีให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<b>ซึ่งจะพบว่าส่วนใหญ่ถ้าถูกเลือกโดยศูนย์ฯ/สาขา ก็จะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับคนที่เป็นเจ้าของที่ตั้งศูนย์ฯ/สาขานั้นๆ หรือเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่เดินเข้าไปสมัครโดยตรงกับพรรคใหญ่จากส่วนกลาง แล้วส่วนกลางค่อยแจ้งมายังศูนย์ /สาขาให้ทราบอีกที ว่าจะส่งใครลงสมัครพื้นที่นั้นๆ ซึ่งวิธีการนี้ ก่อให้เกิดปัญหาภายในขึ้น ในศูนย์ฯ/สาขา เป็นอย่างยิ่งซึ่งจะอธิบายต่อไป</b></div>
<div>
<b><br /></b></div>
<div>
<ul>
<li><b><span style="color: red;">ปัญหาการหาเสียงภายในเขตพื้นที่ </span>ปัญหานี้สืบเนื่องมาจากปัญหาแรก จากการศึกษาพบว่าถ้าเขต เลือกตั้ง หรือระบบเลือกตั้งเป็นแบบ พวงใหญ่เรียงเบอร์ อาทิ เขตหนึ่ง มี 3คน เรียงเบอร์ 1-2-3จะมีปัญหาในการหาเสียงเป็นอย่างมากเริ่มจาก</b></li>
</ul>
<div>
<ol>
<li><b>การแย่งกันเพื่อจะได้เป็นผู้สมัครเบอร์แรก ของทีม เช่น เบอร์ 1 2 3 ก็จะแย่งกันเป็น เบอร์ 1 เพื่อให้ตนเองเห็นชัดและถูกเลือกได้ง่าย</b></li>
<li><b>ต้นทุนทางสังคมของผู้สมัครในทีมแต่ละคนไม่เท่ากัน เช่นบางคนมีชื่อเสียง มีฐานะทางสังคมดีกว่า ผู้สมัครที่เหลือ ก็จะส่งผลต่อการรวมทีม การหาเสียง เพราะเวลาออกหาเสียงลงพื้นที่จริงๆ จะกลายเป็นว่า แตกทีมกัน ผู้สมัครที่มีชื่อเสียง มีฐานะดีกว่า ก็จะทิ้งลูกทีมคนอื่นๆ ผู้สมัครที่มีชื่อเสียงมีฐานะก็จะมี กำลัง ทั้งเงิน คน รถแห่ ตลอดจนถึงการทำป้ายหาเสียง แบบลูกโดด คือ ทำเฉพาะป้ายที่มีรูปมีเบอร์ตนเองเท่านั้น ส่งผลกระทบต่อผู้สมัคร 2 คนที่เหลือ ดังนั้นระบบเลือกตั้งแบบนี้ ผู้มีชื่อเสียง มีฐานะดีกว่า จะเป็นผู้ได้เปรียบ ผู้สมัครคนอื่นๆภายในทีม และส่งผลไปถึง การเกิดกล่มก้อน ความไม่สามัคคีกันภายในทีม</b></li>
<li><b>สืบเนื่องจากข้อ 2 เมื่อมีผู้สมัครในทีมคนใดคนหนึ่งหาเสียงเดี่ยวทิ้งลูกทีม ก็จะส่งผลให้ ผู้สมัคร 2 คนที่เหลือ วิ่งหาตัวช่วย เช่น วิ่งเข้าหาผู้มีอิทธิพล มีเงิน มีกำลังในท้องที่ ให้ช่วยเหลือ ส่งผลให้เป็น ส.ส.มีเจ้าของ มีสังกัด มีระบบบุญคุณกันขึ้น และมีการตอบแทนกันขึ้นในภายหลัง เมื่อคนเหล่านั้นได้มีโอกาส บริหารประเทศ</b></li>
<li><b>ปัญหาการเลือกตั้ง ระบบ พวงใหญ่เบอร์เดียว คือ ในเขตหนึ่ง มีผู้สมัคร 2-3 คนแต่ใช้เบอร์เดียวกัน กรณีนี้จากการศึกษาพบว่า พรรคการเมืองจะกระจายผู้สมัครที่มีชื่อเสียง เป็นหัวหน้าทีมลงสมัครในเขตต่างๆ โดย พ่วงท้ายเอาผู้สมัครที่เหลือ ที่ไม่มีชื่อเสียง หรือหน้าใหม่ หรือ เป็นคนใกล้ชิด ร่วมทีมเข้าไปด้วย ระบบนี้ พบปัญหาตามมานอกจากที่กล่าวแล้วก็คือ ระบบบุญคุณ เช่นกัน เพราะผู้สมัครที่ โนเนม ถูกหนีบเข้าไปด้วยและได้เป็น ส.ส. ก็กลายเป็น เด็กในคาถาของ ผู้สมัครที่เป็นหัวหน้าทีมนั้นไป กลายเป็นกลุ่ม ก้อน หรือมุ้งเล็ก มุ้งใหญ่ ภายในพรรคขึ้นเช่นกัน</b></li>
<li><b>ระบบเลือกตั้งแบบ เขตเดียวเบอร์เดียว หรือ วันแมน วันโหวต ระบบนี้สามารถแก้ปัญหา แบบพวงใหญ่ได้ชัดเจน คือผู้สมัครมีเอกเทศในการหาเสียง ไม่ถูกควบคุมหรืออยู่ภายใต้อิทธิพลผู้สมัครอื่น แต่ ข้อเสียของระบบนี้ก็มี เช่น เส้นทาง การเป็นตัวแทนพรรค เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง นั่นเอง จะพบว่า ผู้ที่มีโอกาสได้ลงสมัครเป้นตัวแทนพรรค ก็ยังเป็นคนกลุ่มเดิม คือมีอิทธิพล ใกล้ชิดพรรค เป็นส่วนใหญ่</b></li>
</ol>
</div>
</div>
<br />
<span style="color: #cc0000;">ปัญหาในข้อนี้ แก้ไขได้โดย ใช้ระบบเลือกตั้งขั้นต้น หรือไพแมรี่โหวต เปิดโอกาสให้ สมาชิกในพื้นที่ ได้ใช้สิทธิ์ ของตนเองอย่างเต็มที่ เพื่อเฟ้นหาคนลงรับสมัครเป็นตัวแทนพรรค จากนั้น ส่งรายชื่อให้ส่วนกลางอนุมัติ เป็นการตัดอำนาจจากส่วนกลางออกไป ที่เข้ามาก้าวล่วงส่วนพื้นที่ระดับสาขาพรรค โอกาสหน้าผมจะเสนอปัญหาส่วนอื่นให้เห็นต่อไป</span><br />
<span style="color: #cc0000;"><br /></span>
<div style="text-align: center;">
<u><span style="color: purple;">กังวาล ทองเนตร คณะรัฐศาสตร์เอกการปกครองมหาวิทยาลัยรามคำแหง</span></u></div>
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-Zmd6t7ikNOw/VuuDfjvCUKI/AAAAAAAAN8Q/xiWfpF2dfGoqI1GUdka5Zk3_szfvI4sSg/s1600/%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25941-%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="218" src="https://1.bp.blogspot.com/-Zmd6t7ikNOw/VuuDfjvCUKI/AAAAAAAAN8Q/xiWfpF2dfGoqI1GUdka5Zk3_szfvI4sSg/s640/%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25941-%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://4.bp.blogspot.com/-XFiMt19E2Kg/VuuDkhv3MNI/AAAAAAAAN8c/Zsa2EGClwjYmuz3LsJNy91m76EzCYKVlA/s1600/%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25942-%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="370" src="https://4.bp.blogspot.com/-XFiMt19E2Kg/VuuDkhv3MNI/AAAAAAAAN8c/Zsa2EGClwjYmuz3LsJNy91m76EzCYKVlA/s640/%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25942-%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://3.bp.blogspot.com/-_MjOHRMXqMs/VuuDjPEgHnI/AAAAAAAAN8Y/_0H2e__A-yQTeUb7jvzVPUiU0w-BRR5_A/s1600/%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25942.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="342" src="https://3.bp.blogspot.com/-_MjOHRMXqMs/VuuDjPEgHnI/AAAAAAAAN8Y/_0H2e__A-yQTeUb7jvzVPUiU0w-BRR5_A/s640/%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25942.jpg" width="640" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-KCOGuqRCVrY/VuuDisqkbRI/AAAAAAAAN8U/RgggOkxgOfUCpDOZYU3Qi-9fkarr_3l1g/s1600/%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25943.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-KCOGuqRCVrY/VuuDisqkbRI/AAAAAAAAN8U/RgggOkxgOfUCpDOZYU3Qi-9fkarr_3l1g/s640/%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25943.jpg" width="448" /></a></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://1.bp.blogspot.com/-JcMIkwGnbtY/VuuDXzAqBKI/AAAAAAAAN8I/Y0TmdV5Mah8efcyArdwoUmWXObX5qMR7A/s1600/%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2594.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="640" src="https://1.bp.blogspot.com/-JcMIkwGnbtY/VuuDXzAqBKI/AAAAAAAAN8I/Y0TmdV5Mah8efcyArdwoUmWXObX5qMR7A/s640/%25E0%25B8%2589%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2594.jpg" width="450" /></a></div>
<br />Pohthaihttp://www.blogger.com/profile/12279228294926003498noreply@blogger.com0